⦁…การเมืองกลับเข้าสู่ “ระบบรัฐสภา” แม้ว่าจะยังเป็นประเด็นที่ต้องอภิปรายเรื่อง “เป็นประชาธิปไตยหรือไม่” ความน่าสนใจอยู่ที่ หลังจากนี้จะนำพาไปในทิศทางใด ระหว่าง “เดินหน้าสู่อำนาจนิยม” หรือ “นำพาประชาชนสู่เสรีภาพ” อันเป็นแก่นแกนของ “ประชาธิปไตย” ซึ่งสมาชิกรัฐสภาทุกคนต่างกล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มาจาก “การเลือกตั้งของประชาชน” หรือผู้ที่ “ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาโดยผู้ใช้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการยึดโยงกับประชาชนไม่กี่คน”
⦁…การเมืองยังไม่ได้ไปไหน โครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาล ยังย้อนไปอยู่ในกรอบ หลัง เนวิน ชิดชอบ บอกกับ ทักษิณ ชินวัตร ว่า มันจบแล้วนาย ก่อนที่จะมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดย “กองทัพเป็นตัวกลาง” และ “ประชาธิปัตย์” พลิกกลับมาเป็น “พรรคแกนนำ” ส่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ถึงวันนี้ก็ยัง “ขั้วเดิม” เพียงแต่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีมาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทว่าที่เปลี่ยนไปคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลือกลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อ “ไม่โหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์” อย่างอื่นๆ ยังเหมือนเดิม
⦁…แม้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะลาออกจาก ส.ส. แต่ “ไม่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค” ดังนั้นในฐานะผู้ได้รับการเสนอจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” นั่นหมายว่า “อภิสิทธิ์” ยังมีสิทธิเต็มที่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หากว่าเกิด “อุบัติเหตุ” กับ “คนที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นดีเห็นงามก่อนหน้านั้น” นั่นหมายความว่า ฟาก “ไม่เสียของ” ยังมี “ตัวสำรอง” ที่จะหยิบมาเล่นอีก ซึ่งรวมไปถึง อนุทิน ชาญวีรกูล ด้วย
⦁…เพราะความตั้งใจสูงที่จะใช้ “รัฐสภา” เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาประชาธิปไตยไทย
แทนที่จะพาการเมืองมาเล่นกับบนถนน “วันเลือกนายกฯ” แม้ต้องหยุดทำหน้าที่ ส.ส. แต่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มารอแต่เช้า หวังเข้าไปแสดงวิสัยทัศน์ ฐานะ “ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี” ในที่ประชุมแต่เช้า เมื่อรู้แน่ว่าไม่ได้รับอนุญาต จึงเปิดแถลงนอกห้องประชุม ยังเลือกเดินในกรอบของ “รัฐสภา”
⦁…การประชุมเพื่อ “เลือกนายกรัฐมนตรี” กลายเป็นเปิดสภาถล่ม “พล.อ.ประยุทธ์” เปิดสารพัดแผลกันสาหัส ความหวังที่ว่า “ส.ว.” ที่แต่งตั้งกันเข้ามาจะเป็น “ไม้กันหมา” ช่วยไล่หวดคนที่ออกมาถล่มให้บ้าง กลับกลายเป็น “ส.ว.” ที่ออกมาอภิปราย ดูไม่มีกระบวนท่าอะไรนัก แทนที่จะช่วยชี้แจงในทางเป็นเหตุเป็นผล กลับทำได้แค่ “ป่วนสภา” เสียมากกว่า นี่เป็นแค่ยกแรกที่จะสะท้อนว่านับแต่นี้ “ความสงบไม่มี” ในชีวิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
⦁…แม้จะแก้เกมได้ด้วย ไม่ให้ความสำคัญกับ “รัฐสภา” ด้วยเชื่อมั่นว่า “อยู่ต่อได้ยาว” ด้วยอำนาจของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” ตาม “กติกา” ที่เขียนกันไว้ แต่การเป็น “ผู้นำ” ที่ยืนอยู่นอกสภา ไม่ใช่ว่าจะไม่สะเทือน เพราะ “การอภิปรายแต่ละครั้ง” ย่อมถูกนำเสนอไปทั่ว ไม่ใช่มีแต่ “ยกยอปอปั้น” ให้ที่เคยชินจากบทบาทของ “สนช.” ที่แต่งตั้งกันขึ้นมา
⦁…คนที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็น “หัวหน้าพรรค” ที่ไม่มีชื่อใน “แคนดิเดตนายกฯ” แต่ต้องมารับศึกหนักทั้ง “นอกพรรค” โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ และ “ในพรรค” ที่เอกภาพยังเป็นปัญหา ซึ่งดูท่าว่า “ศึกนี้จะไม่จบง่ายๆ” ภารกิจฟื้นฟูพรรคให้กลับมาสู่ “ศรัทธาประชาชน” เหมือนเดินบนบ่า “หัวหน้าจุรินทร์” จึงยิ่งยากเย็น
ชโลทร