•….แม้จะพยายามไม่ให้สังคมไทยพูดถึง “ถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามกำหนดแห่งรัฐธรรมนูญ” ด้วยการขอร้องให้ลืมๆ กันไปบ้างก็ว่า “เพื่อแลกกับการแก้รัฐธรรมนูญ” โดยไม่ได้บอกว่าแลกอย่างไร หรือ “ใครบอกว่าจะแลก” บ้างก็ชี้นำให้เห็นว่า “ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร” ทำนอง “คนที่ทำถูกต้อง” ที่ผ่านมาไม่เห็นดีงามที่ตรงไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น “ตรรกะที่เลอะเทอะ” เนื่องจากเป็นชี้ผิดชี้ถูกด้วยเหตุผลที่มั่ว แบบ “สีข้างเข้าถู” เพราะทำให้กลายเป็น “ประเทศที่ไร้ระบบ” เอา “คนดี” อยู่เหนือความถูกต้อง และเมื่อเป็น “คนดี” จากการตัดสินของ “คนกลุ่มที่ไม่ให้ราคากับประชาชนส่วนใหญ่” เรื่องที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
•….ความเชื่อมั่นใน “ผู้นำ” คือความจำเป็นสำหรับ “ความหวังของชีวิต” และในทางการบริหารจัดการประเทศ ความเชื่อมั่นว่าจะรักษากฎหมายไว้ได้ แต่เมื่อ “ผู้นำ” ถูกชี้ให้เห็นว่าเอา “สีข้างเข้าถู” ให้การตีความกฎหมาย มุ่งไปที่ให้ “อยู่ในอำนาจต่อไปได้” ท่ามกลางความคับข้องใจ ประเทศแบบนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับใครได้ อย่าว่าแต่ “ในตัวผู้นำ” เลย บรรดา “นักตีความกฎหมาย” ยังถูกเยาะเย้ยถากถางให้ตกในสภาพ “เสียผู้เสียคนกันเป็นแถว” ไม่ว่า “หัวหงอกหัวดำ”
•….เมื่อ “ผู้นำขาดความเชื่อมั่น” ย่อมอ่อนแอ ประเทศที่ “ต่างไม่เชื่อมั่นกันและกัน” ไม่มีทางที่จะพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ เพราะจะสร้างสภาวะ “ต่างคนต่างเอาตัวรอด” อันนำมาซึ่ง “วัฒนธรรมสอพลอ” อันเป็นวิถีตรงกันข้ามกับ “ความรู้ความสามารถ” และเมื่อ “ผู้นำอ่อนแอ” ย่อมเรียกหากำลังใจ ซึ่งมีแนวโน้มเหมือนของ “นักสอพลอ” ยิ่งทำลายขวัญของ “ผู้มีปัญญา” สภาพสังคม “ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน” จึงเกิดขึ้นตาม “คำทำนาย”
•….ผลที่จะตามมาคือ “การบริหารเศรษฐกิจ” อันมีผลต่อ “ปากท้องประชาชน” จะยิ่งทำได้ลำบาก ด้วย “กลไกและวิวัฒนาการของการค้าซับซ้อนขึ้น” ยิ่งต้องการ “ความรู้ความสามารถในการจัดการ” ซึ่งไม่มีอยู่ใน “วัฒนธรรมสอพลอ” ชะตากรรมของประเทศจึงมองไม่เห็นความหวัง
•….ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” คนแก่มากขึ้น สัดส่วนของ “คนวัยทำงาน” น้อยลง จำเป็นต้องพึ่งพาคนหนุ่มคนสาวให้แบกภาระ หนทางที่ควรจะเป็นคือ เปิดให้ “คนหนุ่มคนสาว” เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อให้รู้สึกว่ามี “คุณค่า” เหมาะสมกับ “การแบกรับภาระ” แต่กลับกลายเป็นว่า “สังคมที่หวาดระแวงความ
คิดต่าง” ทำให้ผู้มีหน้าที่กำหนดโครงสร้างอำนาจของประเทศมอง “คนหนุ่มคนสาว” ที่เห็นต่างไปจากตัว เป็นอันตราย “ต้องหาทางหยุดยั้ง กำจัด” ซึ่งทำให้เห็นคำตอบได้ไม่ยากว่า “คนหนุ่มคนสาวจะรู้สึกอย่างไรกับความเป็นไปของประเทศ”
•….ประกาศให้ประเทศเป็น “ประชาธิปไตย” แต่ “ผู้มีบทบาทในการชี้ถูกชี้ผิด” ประกาศว่า “คนกลุ่มไหนต้องควบคุม กำจัด” และ “คนกลุ่มไทยต้องส่งเสริม” กลับเป็น “ผู้นำกองทัพ” ที่แสดงออกถึง “ความไม่เข้าใจคนรุ่นใหม่” และชี้นำให้ “จัดการกับการสื่อสารของคนรุ่นใหม่” อันสะท้อนถึง “การไม่มีความสามารถที่จะตระหนักรู้ความเปลี่ยนแปลง”
•….เมื่อความเป็นจริงของสังคม หนทางสู่ “การพัฒนาที่เหมาะควรไปทางหนึ่ง” แต่การตัดสินใจนำประเทศถูก “ความอ่อนแอ” บังคับให้เยียวยาด้วย “วัฒนธรรมสอพลอ” ทำให้ไปคนละทางกับ “ความหวังของคนรุ่นใหม่ที่มีปัญหา” ลองนึกดู ด้วยความรู้สึกของ “คนรุ่นใหม่” ผู้ต้องแบกภาระ กับ “คนรุ่นเก่า” ที่เป็นภาวะ
ให้ต้องแบก จะออกมาเป็นอย่างไร และบางทีการมองเห็นสภาวะดังกล่าว จะทำให้ “มองเห็นคำตอบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยด้วย”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่