⦁….เมื่อนักข่าวชวนคุยเรื่อง “ถวายสัตย์ไม่ครบข้อความตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้” ว่าจะตอบอย่างไรในวันถูกอภิปรายในสภา คำตอบแสดงถึง “การไม่ให้ความสำคัญ” ว่า “เอาเวลาไปแก้ปัญหาน้ำท่วมดีกว่า” อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันว่า หลังวันอภิปราย “18 ก.ย.นี้” ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ในสภาพอิลักอิเหลื่ออย่างยิ่งสำหรับการแสดงออกในอนาคต ในมุมของ “แบบอย่างที่ดีของผู้เคารพกฎหมาย” อันเป็น “คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้นำ”
⦁….เพราะ “วิทยานิพนธ์” ที่สรุปไปในทางที่ว่า “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” เป็น “เครื่องมือการเมืองที่อันตราย” และคล้ายกับว่า “บิ๊กแดง”-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะเจาะจงไปที่ “กระบวนการสร้างคะแนนิยม” ของ “พรรคอนาคตใหม่” ทำให้กระแสในโลกออนไลน์รับรู้เรื่องราวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปในทางถูกต่อต้าน และความน่าสนใจอยู่ที่ “ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ” ข่าวที่เกี่ยวกับ “ความเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่” ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ที่สำคัญทั้งที่ความพยายามจะทำให้เป็น “มุมลบ” กระแสกลับเคลื่อนไปทาง “มุมบวก”
⦁….เวทีที่ “อนาคตใหม่” ปักธง คือ “ท้องถิ่น” อันชัดเจนแล้วว่าจะเปิดให้เล่นกัน “ปลายเดือนนี้” ถึง “ต้นปีหน้า” แม้จะกระซิบกระซาบกันในทุกวงการ ถึง “โอกาสถูกยุบพรรค” ทว่านั้นไม่ทำให้ “คนที่สนใจร่วมงาน” เกิดความหวั่นไหว ด้วยว่า “เวทีการเมืองท้องถิ่น” ไม่จำเป็นที่ “พรรคต้องยังมี” ขอเพียงทำให้ประชาชนรู้ว่า “สมัครในทีมอนาคตใหม่” มีความเชื่อกันว่า “โอกาสที่จะเข้าป้าย” มีความเป็นไปได้สูงในหลายพื้นที่ ซึ่ง “คนรุ่นใหม่” ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงมีบทบาทกำหนด
⦁….ทว่าชะตากรรมทางการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับคล้ายจะไปคนละทางกับกระแส จนถึงวันนี้ “ไม่มีเสียงตอบรับในทางที่ดีจากกลไกที่คุมระบบอำนาจ” แต่ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ “การเมืองไทย” ถูกจับตาเป็นพิเศษ ว่าระหว่าง “กระแสประชาชน” กับการควบคุมของ “กลไกอำนาจ” ที่สุดแล้ว หนทางแบบไหนคือ “อนาคตของไทย” ที่จะสร้างไว้ให้ “คนรุ่นหลัง”
⦁….การชี้นำทางความคิดว่า “ปัญหาปากท้อง” สำคัญกว่า “แก้รัฐธรรมนูญ” ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ เพราะกระแสเรียกร้องเริ่มเงียบเชียบ ไม่ค่อยมีใครใส่ใจกันอย่างที่เคยบอกว่าจำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า “การบริหารประเทศที่ส่งผลต่อปากท้อง” ทุกวันนี้ “ปัญหาเกิดจากอำนาจที่รัฐธรรมนูญดีไซน์ไว้ให้”
⦁….เพราะพาประเทศเคลื่อนไปในกรอบนโยบาย “ส่งเสริมทุนใหญ่ให้แข็งแกร่ง” ด้วยความเชื่อว่า “ที่สุดแล้วผลดีทางเศรษฐกิจจะกระจายให้คนทุกระดับได้ประโยชน์” ทำมา 5 ปี จนเป็น “กรอบแข็งแกร่ง” เปลี่ยนแปลงได้จากตัวเลข “จีดีพี” เป็นอย่างที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” บอกคือ “ไม่ได้ทรุด แค่อัตราเพิ่มลดลงบ้าง” แม้หลายคนจะชี้ให้เห็นว่า “นั่นเป็นการมองมุมเดียว” ทำให้ไม่เห็น “เบื้องหลัง” ที่ “ความเหลื่อมล้ำถ่างกว้าง” เกิดสภาพ “รวยกระจุก จนกระจาย” ระดับกลางล่าง “คางเหลืองกันทั่วหน้า” และดูเหมือนว่าเกินกว่าจะเยียวยาได้แล้ว
⦁….หลัง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เล่นบท “ต้องรู้ว่าใครเป็นใคร” ด้วย “ย้ายใหญ่” ที่ “คมนาคม” ผลสะเทือนถึง “สาธารณสุข” ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค นั่งว่าการ กระทรวงซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นที่รับรู้กันว่า “นักการเมือง” เข้าไปวุ่นวายแทรกแซงได้ยาก มาวันนี้ “คุณหมอนักบริหารระดับสูง” เริ่มต้องคิดเรื่อง “ต้องรู้ว่าใครเป็นใคร” กันแล้ว
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่