แฟลชสปีช : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ‘รธน.ดีไซน์’เป็นพิษ

แฟลชสปีช : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ‘รธน.ดีไซน์’เป็นพิษ

แฟลชสปีช : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
‘รธน.ดีไซน์’เป็นพิษ

“ประเทศเราเละไปแล้ว เพียงแค่ค่อยๆ พังลงให้รับรู้ทีละเรื่อง ละเรื่องเท่านั้น มันจบแล้วไม่มีส่วนไหนที่จะเป็นความหวังว่าจะดีขึ้นได้อีก”
เป็นข้อความหนึ่งที่ผ่านเข้ามาให้รับรู้ทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตอนแรกอ่านแล้วผ่านเลย เหมือนกับของความคิดที่ล่องลอยอย่างปราศจากรูปธรรมอื่นๆ ที่แค่รู้สึกเลือนราง ผสมผเสระหว่างเชื่อว่าจริงกับไม่เชื่อ เพราะไม่มีข้อมูลอะไรที่มาย้ำให้เห็น
หากแต่ว่าครั้งนี้กลับแตกต่าง เนื่องด้วยข้อความนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำ เหมือนกระตุ้นให้ไปค้นหารูปธรรมแห่งคำตอบเอาเอง

เมื่อได้ยิน ได้อ่าน ได้ดูเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ในทุกช่องทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เรื่องราวในยุคสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชื่อเล่นว่า “ตู่” เป็นผู้นำประเทศ

เริ่มเห็นคำตอบที่เชื่อมโยงกับบทสรุปจากโซเชียลที่กาลเวลาทำให้ค้นไม่เจอ แต่ยังประทับอยู่ในความทรงจำนั้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เริ่มต้นบทบาทผู้นำประเทศจากรัฐประหารเมื่อปี 2557 มีอำนาจเต็มจากการสถาปนาตัวเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่คำสั่งเป็น “กฎหมายสูงสุด” เหนืออำนาจอธิปไตยในทุกด้าน

ช่วงนั้นคนที่ไม่เชื่อในประชาธิปไตย หรือระบอบที่ฝากความหวังไว้กับอำนาจประชาชนกลุ่มหนึ่ง มีความเชื่อว่า “บิ๊กตู่” ของพวกเขาจะนำพาการพัฒนาประเทศชาติให้รุ่งเรืองได้

จะมีการ “ปฏิรูปการเมือง” เพื่อให้การบริหารจัดการประเทศอย่างมีคุณภาพ สามารถสร้างความอยู่ดีมีสุข หรือประเทศที่พวกเขาประกาศเป็นม็อตโต้ไปว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ได้

Advertisement

แม้ปรากฏว่าเกือบ 5 ปีในอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหนืออธิปไตยทุกด้านของประเทศ กลับไม่เห็นร่องรอยอะไรที่เป็นความหวังว่าประเทศชาติจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้

กระนั้นก็ตาม เมื่อมีการจัดการให้สืบทอด “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นั้นไว้ใน “กฎหมายสูงสุดของประเทศ”

ในนาม “รัฐธรรมนูญที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

ความหวังว่า “บิ๊กตู่ของพวกเขา” จะนำประเทศสู่การพัฒนายังเจิดจ้าอยู่กับกลุ่มคนที่ชิงชังอำนาจจากประชาชน

ความเป็นไปในด้านต่างๆ ของประเทศปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากการโอบอุ้ม เกื้อหนุน ปกป้อง ของ “รัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

ด้านการเมือง “รัฐสภาที่ถูกดีไซน์โครงสร้างอำนาจมาอย่างพิลึกพิลั่น” เป็นที่พึ่งในฐานะเวทีหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมืองไม่ได้

เป็นสถาบันแรกที่สะท้อนความล้มเหลวของการทำหน้าที่ จนเป็นภาวะของ “เยาวชน” ที่ควรจะใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตัวเองเป็น “ความหวังของอนาคตที่สดใสให้ประเทศ” ออกมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสี่ยงคุกตะราง มาต่อสู้เพื่อคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตที่พอมีความสดใสให้พอหวังได้บ้าง

ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวถดถอย กระทั่งทุนต่างชาติทิ้งประเทศไทยหนีไปสร้างโรงงานใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ

บริษัทห้างร้าน กิจการต่างๆ ล้วนแล้วแต่รอวันล้มละลาย อย่างสิ้นหวังกันถ้วนทั่ว

ในทางสังคม ความเสื่อมโทรมทางความเชื่อถือศรัทธาเกิดขึ้นทุกมิติ ความขัดแย้งของคนในชาติขยายสู่การต่อสู้ระหว่างวัย คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ไม่สามารถสื่อสารกันอย่างยอมรับกันได้ กลายเป็นสภาวะที่เสี่ยงของการตอบโตอย่างแตกหัก ยากที่จะอยู่ร่วมกัน

อย่าว่าแต่ใคร แม้กระทั่ง ที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า “บิ๊กตู่” กลับถูกเรียกขาน ร้องตะโกนอยู่กึกก้องในการชุมนุมในสถานะที่น่าเศร้า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เรื่องราวอื่นที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ใช่หรือไม่ว่าเกิดจาก “รัฐธรรมนูญ” ที่ “ดีไซน์” มาเป็นเครื่องมือปกป้อง คุ้มกันและเกื้อหนุนอย่างไร้เหตุผล

ก่อให้เกิดสภาวะ “ใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องพัฒนาความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับสภาวะของประเทศ” ก็ยังอยู่สุขสบาย โดยไม่มีใครทำอะไรได้
เครื่องมือปกป้องคุ้มครองจึงกลายเป็น “พิษ” เพราะทำให้ “ไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาตัวเอง” ก็ยังอยู่ได้
เพียงแต่ว่าคำถามเริ่มแรงและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ว่า “หากอยู่ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกกับประเทศชาติ”

โดย : การ์ตอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image