กกต.แจงใช้สิทธิเลือกตั้งอบจ. หลุดเป้า 4 จังหวัดเลือกใหม่-5 แห่ง ‘บัตรเขย่ง’

กกต.แจงใช้สิทธิเลือกตั้งอบจ. หลุดเป้า 4 จังหวัดเลือกใหม่ – 5 แห่ง ‘บัตรเขย่ง’

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงสรุปภาพรวมการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า

ในส่วนของการเลือกตั้งนายก อบจ.มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าลดลงจากการเลือกตั้ง อบจ.ปี 2563 ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ โดยในจำนวนเป็นบัตรดี 14,272,694 ใบ คิดเป็น 87.23 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบัตรเสีย 931,290 ใบ คิดเป็น 5.69 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเกือบจะเท่ากับปี 2563 ที่มีบัตรเสียอยู่ที่ 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08 เปอร์เซ็นต์

ขณะในส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิก อบจ.มี 47,124,842 คน และมาใช้สิทธิ 26,418,754 คน คิดเป็น 56.06 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นบัตรดี 23,131,324 ใบ คิดเป็น 87.56 เปอร์เซ็นต์ บัตรเสีย 1,488,086 ใบ คิดเป็น 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,799,344 ใบ คิดเป็น 6.81 เปอร์เซ็นต์

นายแสวงกล่าวต่อว่า ในขณะที่จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก อบจ.และนายก อบจ.47 มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.ลำพูน คิดเป็น 73.43 เปอร์เซ็นต์ 2.นครนายก คิดเป็น 73 เปอร์เซ็นต์ 3.พัทลุง คิดเป็น 72.56 เปอร์เซ็นต์ 4.นราธิวาส คิดเป็น 68.42 เปอร์เซ็นต์ และ 5.มุกดาหาร คิดเป็น 68.03 เปอร์เซ็นต์ แล้วจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งแค่สมาชิก อบจ.ใน 29 จังหวัด มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.พะเยา คิดเป็น 61.68 เปอร์เซ็นต์ 2.เลย คิดเป็น 58.04 เปอร์เซ็นต์ 3.เพชรบุรี คิดเป็น 57.44 เปอร์เซ็นต์ 4.ยโสธร คิดเป็น 56.72 เปอร์เซ็นต์ และ 5.ชัยนาท คิดเป็น 56.63 เปอร์เซ็นต์

ADVERTISMENT

นายแสวง กล่าวว่า จากข้อมูลที่เห็นว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อย และไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้อาจจะเป็นเพราะจัดการเลือกตั้งวันเสาร์นั้น เรื่องนี้ตนเคยชี้แจงว่ามีข้อจำกัดที่ข้อกฎหมายที่ต้องเลือกภายใน 45 วัน และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพบว่า มี 6 จังหวัดที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ส่งรายงานผลคะแนนและหีบบัตรเกินเวลา 24 นาฬิกาของวันที่ 1 ก.พ.

ADVERTISMENT

ดังนั้นแล้วสะท้อนว่าสิ่งที่เราได้ตัดสินใจเลือกตั้งในวันเสาร์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันเราได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ครั้งนี้ก็เกิดเหตุมีกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างส่งหีบบัตร ซึ่งตนขอแสดงความเสียใจ กกต.จะดูแลตามสิทธิที่กปน.ควรได้รับ ดังนั้นการกำหนดวันเลือกตั้งจึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่กดดันการทำงานของผู้ปฏิบัติงานด้วย และการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ไม่ได้กระทบต่อการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เพราะผู้สมัครทุกคนแข่งขันขันอย่างเท่าเทียม ภายใต้กติกาเดียวกัน อีกทั้งจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยกว่าการจัดเลือกตั้งปี 2563 เพียง 4% แต่ถ้าเทียบการจัดเลือกตั้ง อบจ.วันเสาร์คราวนี้ กับครั้งเลือกตั้งนายก อบจ. 29 จังหวัดไปก่อนหน้านี้ที่จัดวันอาทิตย์ ถือว่าครั้งนี้ดีกว่า

นายแสวงกล่าวว่า จำนวนบัตรเสียยืนยันว่าไม่ต่างจากปี 2563 บัตรเสียจากการเลือกนายก อบจ. ถือว่าเท่ากับปี 2563 ขณะที่บัตรเสียจากการเลือกสมาชิกอบจ.ครั้งนี้น้อยกว่าเมื่อครั้งปี 2563 อยู่ที่ 7.63 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากตัวระบบเอง ทำให้มีเบอร์ของผู้สมัครนายกอบจ.กับสมาชิกอบจ.ส่งในนามพรรค อาจทำให้มีจำนวนผู้สมัครไม่เท่า เพราะบางจังหวัดเลือกตั้งเฉพาะสมาชิกอบจ. บางจังหวัดเลือกตั้งทั้ง 2 ประเภท ประชาชนอาจสับสน ลงคะแนนในช่องไม่มีผู้สมัคร ไม่ได้เป็นการตั้งใจทำให้บัตรเสีย ขณะเดียวกันมีการแบ่งเขตใหม่ทำให้ประชาชนสับสน ส่วนที่ตั้งใจเป็นบัตรเสียนั้นมีน้อย

“สำหรับบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครมีจำนวนมาก กกต.คงไปตอบแทนประชาชนไม่ได้ แต่ช่องนี้น่าจะเป็นการแสดงความรู้สึกของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตนั้นๆ ครั้งนี้สมาชิกอบจ.ไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนตามกฎหมายกำหนด 3 เขต ได้คะแนนเสียงไม่มากกว่าคะแนนที่ไม่เลือกผู้ใด ประกอบด้วย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เมืองตรัง เขตเลือกตั้งที่ 2 และชุมพร อ.สวี เขตเลือกตั้งที่ 4 และมีอีก 1 เขตไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากผู้สมัครถูกตัดสิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ ชัยนาท อ.วัดสิงห์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ดังนั้นทั้ง 4 จังหวัดนี้ต้องเลือกตั้งใหม่

ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 7 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง รับสมัครใหม่ในเขตเลือกตั้ง และกำหนดวันเลือกตั้งไม่เกิน 45 วัน นับแต่วันที่ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่ามี 4-5 จังหวัดพบจำนวนบัตรกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิจำนวนไม่ตรงกัน ทางจังหวัดต้องพิจารณาและเสนอมาที่กกต.ว่าสมควรจะให้นับใหม่หรือเลือกตั้งใหม่” นายแสวง กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคประชาชนจะเสนอให้นับคะแนนเลือกนายกอบจ.เชียงใหม่และสมุทรปราการ เนื่องจากมีจำนวนบัตรเสียเยอะ นายแสวง กล่าวว่า การนับคะแนนใหม่มีหลักเกณฑ์อยู่ เช่น ระหว่างการนับคะแนนมีการทักท้วงและทำบันทึกไว้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ ส่วนทุจริตการเลือกตั้ง ทั้งที่ปรากฏทางสื่อช่องทางต่างๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ ล่าสุดจำนวนเรื่องร้องเรียนมี 180 เรื่อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image