กกต.เรียกพรรคการเมืองติว เผยขอขายสินค้าที่ระลึกระดมทุนได้ แต่ยังห้ามทอล์กโชว์

กกต.เรียก 8 พรรคการเมืองใหม่ ติวแนวทางปฏิบัติ โดยไม่ขัดกฎหมาย ระบุ เดินหน้ารับสมัครสมาชิกได้ทันที ชี้ ขออนุญาตขายสินค้าที่ระลึกระดมทุนได้ แต่ยังขายโต๊ะ- จัดทอล์กโชว์ไม่ได้

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ประชุมชี้แจงการดำเนินกิจกรรมให้แก่พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ แบ่งเป็นช่วงเช้าพรรคสยามพัฒนา พรรคพรรคพลังไทยรักไทย พรรคพลังชาติไทย และพรรคประชาชาติ และช่วงบ่าย พรรคไทยธรรม พรรคเพื่อคนไทย พรรคพลังปวงชนไทย พรรคพลังรวมประชาชาติไทย

ทั้งนี้ นายแสวงชี้แจงว่า เมื่อพรรคได้รับการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองแล้ว ให้รับสมัครสมาชิกได้ทันที โดยผู้ร่วมจัดตั้งพรรค 500 คน จะถือว่ามีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกพรรค เรื่องหาสมาชิก 100 คน ขอแนะนำให้แต่ละพรรคเผื่อจำนวน ป้องกันกรณีสมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่น ซึ่งจะมีผลให้เสียทั้ง 2 พรรค จะถูกตีความว่าหาสมาชิกชอบหรือไม่ กรณีกองทุนเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ในปีงบประมาณ 62 วันที่ 1 มกราคม -31 ธันวาคม 62 ซึ่ง กกต.ได้จัดสรรรูปแบบใหม่ จะได้เท่าไรขึ้นอยู่กับเกณฑ์ตามกฎหมาย โดย กกต.ได้รับงบประมาณ 130 ล้านบาท สามารถจัดสรรให้พรรคการเมืองได้ 117 ล้านบาท คาดว่าจะโอนเงินอุดหนุนให้พรรคการเมืองได้ในช่วงต้นปี 62 แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาคำนวณเงินอุดหนุน หากมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 62 อาจนำข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 61 หรือ 31 ธันวาคม 61 แต่หากใช้ข้อมูลวันที่ 31 ธันวาคม 61 อาจมีความล่าช้าในการส่งเงินอุดหนุนได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อสมทบกับเงินค่าบำรุงที่แต่ละพรรคเก็บได้ และจำนวนสาขาพรรค เมื่อได้รับเงินไปแล้วสามารถนำใช้จ่ายอะไรได้บ้าง ซึ่งกฎหมายค่อนข้างกว้างสามารถนำไปใช้ในการหาเสียงได้ โดยต้องทำเอกสารรายงาน กกต. ส่วนพรรคการเมืองเก่าจะมีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนที่มาจากเงินบริจาคจากภาษีด้วย

“ขณะนี้คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 13 ยังมีผลบังคับใช้ ก่อนที่พรรคจะดำเนินกิจการใดๆ ต้องแจ้ง กกต.ก่อนดำเนินกิจกรรม 5 วัน เช่น การประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคจะต้องมาจากที่ประชุมใหญ่ หลายพรรคกรรมการบริหารลาออก หรือมีการปรับปรุงแก้ไขข้อบังคับพรรค อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นพรรคการเมืองแล้วต้องดำเนินกิจการทางการเมืองตาม มาตรา 23 ของพรรคการเมือง อย่างน้อยปีละ 1 อย่าง ในส่วนของกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องประกอบด้วย กรรมการบริหาร 7 คน สมาชิกพรรค 4 คน รวม 11 คน เนื่องจากเจตนา คสช. มองว่า หลังปลดล็อกพรรคการเมืองอาจตั้งสาขาไม่ทัน จึงเขียนกฎหมายให้รับฟังจากตัวบุคคล เช่น ผู้แทนสาขา ตัวแทนหรือสมาชิกพรรคการเมืองประจำจังหวัด คำสั่ง คสช.ที่ 13 จึงเป็นไพรมารีแบบย่อ หรือมินิไพรมารี ความหมายคือ ต้องตั้งตัวแทนหรือสาขาพรรคเพื่อฟังความเห็น ซึ่งกฎหมายของเก่าพรรคจะต้องจัดประชุม แต่กฎหมายใหม่ไม่ต้องประชุมแค่รับฟังเท่านั้น” นายแสวงกล่าว

Advertisement

นายแสวงกล่าวอีกว่า การตั้งสาขาพรรค ต้องมีสมาชิกในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบไม่น้อยกว่า 500 คนขึ้นไป และบุคคลนั้นต้องมีภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร ส่วนตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จะต้องอยู่ในพื้นที่และต้องมีจำนวน 101 คนขึ้นไป ทั้งนี้ กฎหมายมีความสลับซับซ้อน แนะนำให้พรรคมีนิติกรอย่างน้อย 1 คน ทำหน้าที่ประสานกับ กกต. เพราะกฎหมายหลาย 10 มาตรา มีโทษตั้งแต่ใบแดงถึงใบดำ เปลี่ยนค่าปรับทางปกครอง เป็นค่าปรับทางอาญา

รองเลขาธิการ กกต.กล่าวต่อว่า กรณีการรับบริจาค กฎหมายกำหนดห้ามบริจาคเกิน 10 ล้านบาทต่อรายต่อปี ขณะนี้รับบริจาคได้เฉพาะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น เงินของพรรคการเมืองก่อนการปลดล็อกจะมาจากทุนประเดิม กองทุนพัฒนาพรรคการเมืองหรือค่าสมาชิกเท่านั้น หากต้องการรับบริจาคจากบุคคลภายนอก สามารถใช้คำสั่ง คสช.ที่ 53 ข้อ 4 ขออนุญาตได้ เช่น ขายสินค้าที่ระลึกระดมทุน ส่วนการระดมทุนในรูปแบบจัดทอล์กโชว์ ขายโต๊ะ ยังทำไม่ได้เพราะอาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยซึ่งจะขัดคำสั่ง คสช.อีก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image