กองทัพเรือ เพิ่มเรือผลักดันน้ำอีก 28 ลำ หนุนการผลักดันน้ำช่วยอุบลฯเร่งระบายสู่แม่น้ำโขง

พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเสนาธิการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ เปิดเผยว่า พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้สั่งการให้ กองทัพเรือ เตรียมให้การสนับสนุนเรือผลักดันน้ำเพิ่มเติมอีก 28 ลำ จากปัจจุบัน 25 ลำ ในการเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังในหลายพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีให้ไหลลงสู่แม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด

เสนาธิการทหารเรือเปิดเผยว่า ตามที่กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุบลราชธานี ได้ขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจากกองทัพเรือจำนวน 25 ลำ เพื่อเร่งระบายน้ำในแม่น้ำมูลให้ไหลลงสู่แม่น้ำโขงรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยติดตั้งบริเวณแก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2562 เป็นต้นมานั้น พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ประกาศยกระดับความรุนแรงของอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ และให้รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้กำกับควบคุมพื้นที่กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติจังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยจังหวัดที่ประสบอุทกภัย 4 จังหวัดเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 โดยมี นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานซึ่งที่ประชุมมีมติให้ขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจากกองทัพเรือเพิ่มเติมในการเร่งระบายน้ำโดยจะติดตั้ง สะพานข้ามแม่น้ำมูลฝั่งตำบลกุดลาด อำเภอเมือง หรือฝั่งตำบลท่าช้างอำเภอสว่างวีระวงศ์ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย

ในการนี้ พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ได้สั่งการอย่างเร่งด่วนให้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำให้การสนับสนุนจังหวัดอุบลราชธานีตามที่ได้รับการร้องขอ พร้อมทั้ง เตรียมเรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือทุกลำให้มีความพร้อมในการสนับสนุนการปฏิบัติในการผลักดันน้ำ ตามที่ได้รับการร้องขอจากจังหวัดที่ประสบอุทกภัย โดยปัจจุบัน แม้ว่า เรือผลักดันน้ำจำนวน 25 ลำ จะได้ทำการผลักดันน้ำในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากปริมาณฝนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำในหลายพื้นที่ยังคงท่วมสูง ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุบลราชธานี จึงได้ประสานขอรับการสนับสนุน เรือผลักดันน้ำเพิ่มเติม ในการนี้กองทัพเรือได้สั่งการให้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ โดย หน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ กองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำ จำนวน 28 ลำ ซึ่งคาดว่า เรือผลักดันน้ำชุดแรกจะเดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานีในช่วงดึกของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเมื่อถึงพื้นที่แล้วจะทำการติดตั้งและเดินเครื่องในทันที ส่วนขบวนรถชุดที่ 2 คาดว่าจะถึงจังหวัดสกลนครในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 28 กันยายน  ซึ่งคาดว่าจะทำให้มวลน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีไหลลงสู่แม่น้ำโขงได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับ เรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำหลากมาตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งแนวความคิดนี้ ปัจจุบันกรมชลประทานได้นำไปดัดแปลงระบบ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาระบบน้ำทั่วประเทศ และจากองค์ความรู้ ในการสร้างเรือผลักดันน้ำ ที่คงมีอยู่ทำให้ กองทัพเรือสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อการนำไปใช้ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี 2554 ทั้งยังสนองต่อพระราชดำริแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำอุปกรณ์ เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมมาผลิตและพัฒนาขึ้นใหม่เป็น 3 ขนาด คือขนาด 320 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 150,000 ลูกบาศก์เมตร/วันขนาด 220 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 100,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และขนาด 120 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 30,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน เรือผลักดันน้ำนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการระบายน้ำเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ครั้งละปริมาณมาก อีกทั้งยังสามารถชะล้างไล่ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ก้นแอ่งให้หมดไป ทำให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เป็นแอ่ง เป็นบึงและคอขวด เนื่องจากเป็นที่ลุ่มระบายน้ำออกได้ลำบากและไหลได้ไม่เร็ว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image