วุฒิสภา อนุมัติ พ.ร.ก. โอน 223 เสียง ‘สมชาย’ อัด ‘ปิยบุตร’ ทำสับสน – นำไปสู่ความขัดแย้ง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ตุลาคม ที่รัฐสภา (เกียกกาย) มีการประชุมวุฒิสภา เป็นพิเศษ ซึ่งมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ได้พิจารณาพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยงานบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ ชี้แจงว่า หลังจาก กมธ.พิจารณา พ.ร.ก.ฉบับนี้ พบว่าในการออกเป็นพ.ร.ก.ต้องอาศัยเหตุผลและความจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพราะโดยปกติการโอนอัตรากำลังหรืองบประมาณ ต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แต่การที่รัฐบาลเลือกออกเป็นพ.ร.ก. ด้วยเหตุผลความจำเป็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ที่บัญญัติว่า กรณีเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศหรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์ทรงตราพ.ร.ก.ให้ใช้บังคับดังเช่น พ.ร.บ.ได้

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมี 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สถาบันที่พวกเราต้องเทิดทูล ถวายความปลอดภัย คือสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้การถวายความปลอดภัย และการเทิดพระเกียรติเป็นไปตามความมุ่งหมาย จะปล่อยให้เนิ่นนานไปคงไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรือประชาชนทั่วไป ต้องเห็นเรื่องการถวายความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะรอได้ เพราะบางเรื่องหากรอ อาจเกิดผลเสียหาย

อย่างไรก็ตาม หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยเป็นส่วนราชการอยู่ในพระองค์ มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงการเพิ่มอัตรากำลัง และงบประมาณ ฉะนั้น การที่จำเป็นต้องโอนอัตราหรืองบบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย และกระทรวงกลาโหม ไปอยู่ในหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

Advertisement

ทาง กมธ.ฯ จึงเห็นว่ามีความจำเป็นจริงๆที่ต้องตราเป็น พ.ร.ก. โดยไม่อาจรอเป็น พ.ร.บ.แล้วไปเข้าตามช่องทางปกติ ซึ่งต้องใช้เวลานาน อาจไม่ทันการเรื่องการถวายความปลอดภัย จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่รัฐบาลได้เสนอออกเป็นพ.ร.ก. ทั้งนี้ ขอตั้งคำถามว่าการโอนหน่วยงานบางส่วนต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบอะไรในหน่วยงานเดิมและใหม่ให้สอดคล้องหรือไม่

ขณะที่การอภิปรายของ ส.ว. จำนวน 5 คนแสดงความเห็นที่พร้อมจะอนุมัติ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะเป็นเหตุฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 กำหนดไว้

ทั้งนี้ การอภิปรายตอนหนึ่งของนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ที่แสดงความเห็นชอบที่จะอนุมัติพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ได้เรียกร้องให้ พรรคอนาคตใหม่ รับผิดชอบต่อกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่รับผิดชอบต่อการอภิปรายที่ระบุไว้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพราะเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมสับสนและอาจนำไปสู่ความเผชิญหน้าและขัดแย้งระหว่างประชาชนที่รักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์

Advertisement

โดยนายสมชาย อภิปรายว่า การอภิปรายของ ส.ส.ในที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ระหว่างการพิจารณา พ.ร.ก.
ดังกล่าว มีข้อมูลที่บิดเบือน และทำให้สังคมสับสนว่าการไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก. และอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่สมควรประกาศ พ.ร.ก. และตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทั้งนี้เรื่องความมั่นคงปลอดภัยประเทศว่าด้วยการอารักขา ถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เป็นเรื่องสำคัญของชาติ หากทำเป็นพ.ร.บ. แม้สภาฯ จะพิจารณาแบบ 3 วาระรวดได้ เพื่อความรวดเร็ว แต่ต้องใช้การตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เต็มสภา และส.ส.สามารถแปรญัตติ หาก ส.ส. 70 คนที่โหวตสวนมติอนุมัติ พ.ร.ก. แปรญัตติที่มีผลเปลี่ยนแปลงเนื้อหา

ซึ่ง พ.ร.ก. ที่มีผลบังคับใช้แล้ว หากมีผลเปลี่ยนแปลงบางกรม หรือแก้ไขบางส่วน และมีข้อผิดพลาด รัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต้องรับผิดชอบ หรือหากผ่านสภาฯ โดยไม่แก้ไข ต้องเข้าสู่การประชุมวุฒิสภา ซึ่งการพิจารณาเป็นร่างพ.ร.บ. อาจใช้เวลานานเกือบ 1 ปี ดังนั้นการโอนย้ายหน่วยงาน ที่สำคัญคือ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ อาจเป็นการถ่วงเวลา

“คนไทยทั้งประเทศเข้าใจและเห็นด้วยกับการถวายอารักขาความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้กรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เป็นหน่วยงานที่อยู่กับสังคมไทยมาแต่โบราณกาล กรณีเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ให้สัมภาษณ์เพื่อประกาศจุดยืนของพรรคที่นำไปสู่การโหวตสวน ถือว่าไม่งดงาม และสร้างความแคลงใจให้กับประชาชนที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งสิ่งที่ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ทำนั้น สร้างความแปลกประหลาด ทั้งนี้ ผมมองว่าขณะนี้มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ที่เป็นพวกปฏิกษัตริย์นิยม
หรือคนที่มีความคิดนิติราษฎร์ พยายามนำมวลชนในโซเชียลลงสู่ถนนเหมือนเหตุการณ์ในฮ่องกง ทั้งนี้ เราผ่านเหตุการณ์เดือนตุลา ปี 2516 และ ปี 2519 มานานแล้ว ขอบางพรรคการเมืองอย่าพยายามพามวลชนเผชิญหน้า กับคนอีก 60 ล้านคน หากทำสังคมไทยอาจเกิดวิกฤตได้อีกรอบ ทั้งนี้ สิ่งที่บางพรรคทำขอให้ทำเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนสิ่งที่ทำต้องรับผิดชอบ” นายสมชาย กล่าว

ขณะที่พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า การดำเนินการต่อไป คือ ออกประกาศกระทรวงกลาโหมและพิจารณาชี้แจงปรับโครงสร้างภายในกองทัพเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.ก.ต่อไป

จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติ โดยเสียงข้างมาก 223 เสียง อนุมัติพ.ร.ก. ขณะที่ 3 เสียงงดออกเสียง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image