‘พิชัย’ ห่วงวิธีคิด รบ.ทำ ศก.ทรุดยาว ติง ‘บิ๊กตู่’ ถ้ารู้น้อยต้องศึกษาก่อนพูด แนะ ปรับ ครม.ศก.ยกชุด โดยเฉพาะหัวหน้าทีม ศก.
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “หลักปกครองต้องรักษาไว้ ชาติบ้านเมืองต้องมาก่อนความขัดแย้ง” ในหัวข้อ “แนวทางการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจของชาติ” จัดโดย คณะกรรมการญาติฯ35 และสภาที่ 3 ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวได้เพียง 2.4 % ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำมาก และต่ำมาตลอด 3 ไตรมาสของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และเป็นผลมาจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจในอดีตมาตลอด 5 ปี ซึ่งจะส่งผลให้เห็นความล้มเหลวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและชิมช้อปใช้ที่รัฐบาลภูมิใจนักหนา และดูเหมือนจะเป็นนโยบายเดียวที่ประชาชนรับรู้ แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อดีต่อเศรษฐกิจเลย เท่ากับเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดการพัฒนาความสามารถแข่งขันของประเทศ อีกทั้งการเจริญเติบโตต่ำจะส่งผลต่อการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้ารวมกว่า 5 แสนคน และหนี้เสียในระบบธนาคารที่จะมีมากขึ้นจาก โรงงาน บริษัทและห้างร้างที่ขาดทุนจนต้องปิดตัว
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะที่เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก ประชาชนลำบากกันอย่างมากแล้ว แทนที่รัฐบาลจะหาแนวทางแก้ไขและชี้แจงกับประชาชน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กลับบอกว่า การขยายตัวเพียง 2.4% ถือว่าดี ถ้าแบบนี้ดีก็คงไม่มีอะไรแย่แล้ว และยังเปรียบเทียบว่าประเทศไทยไม่ได้แย่ขนาดนั้น ที่อื่นยังแย่กว่าเรา ซึ่งการเปรียบเทียบในลักษณะว่า ‘ฉันแย่แล้ว แต่คนอื่นแย่กว่า’ แบบนี้ควรจะต้องเลิกได้แล้ว เพราะไม่ได้ช่วยให้ประเทศดีขึ้น และไม่ใช่หลักคิดในการบริหาร ไม่ได้ช่วยแก้ไขความลำบากให้กับประชาชน และแนวทางที่นายสมคิดนำเสนอ เช่น การเชื่อมต่ออาเซียน ไทยเป็นศูนย์กลาง ก็เป็นแนวทางเดิมๆ ที่พูดซ้ำๆมากว่า 5 ปีแล้ว แต่กลับไม่เกิดผล และไม่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเลย เห็นได้จากการที่ไทยยังโตต่ำที่สุดในอาเซียนที่มีฐานเศรษฐกิจเหมือนกัน แสดงให้เห็นถึงความไม่เชื่อถือของประชาคมโลกที่มีต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
“ที่หนักยิ่งกว่าและดูเหมือนจะปิดสมองไม่รับรู้ปัญหาเหมือนที่ผ่านมา 5 ปี แทนที่รัฐบาลจะรับฟังความเห็นของผู้เห็นต่าง และฟังการวิจารณ์เพื่อนำไปปรับปรุงการบริหารที่ย่ำแย่ หรือออกมาชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล รัฐบาลกลับส่งคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมออกมาพูดซ้ำๆ เพื่อต่อว่าและดิสเครดิตคนวิจารณ์ ซึ่งแนวคิดที่พูดทำให้คนอื่นดูแย่เพื่อทำให้ตัวเองที่ดูแย่อยู่แล้วดูแย่น้อยลง เป็นแนวคิดที่ตกยุคหมดสมัยแล้ว และยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลหมดหนทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วจึงต้องใช้วิธีคิดแบบด้อยพัฒนานี้ เพราะเรื่องแจกเงินสะเปะสะปะที่ตนเตือนก็เหมือนกับที่ไอเอ็มเอฟเตือน และตนก็ได้เตือนก่อนไอเอ็มเอฟ อีกทั้ง WEF ยังเตือนถึงความล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องรับฟังและนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวอีกว่า ทั้งๆ ที่ 5 ปีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีผลงานทางด้านพลังงานอะไรเลย นอกจากการให้บริษัทลูกของ กฟผ. ซื้อหุ้นบริษัทถ่านหินของอินโดนีเซียใช้เงินกว่า 1.17 หมื่นล้าน ได้หุ้นเพียง 11-12% และตอนนี้น่าจะขาดทุนหนักเพราะราคาหุ้นทรุด สาเหตุจากราคาถ่านหินทรุดหนักเพราะโลกกำลังจะเลิกใช้ถ่านหินแล้ว และตนเองก็ได้เตือนไว้แล้วขณะนั้น และเชื่อว่าต้องมีการทุจริตแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะไปซื้อหุ้นบริษัทถ่านหินนี้เลย และขอฝากประชาชนและฝ่ายค้านให้ตรวจสอบการทุจริตในเรื่องนี้ด้วย เพราะเรื่องนี้น่าจะชัดกว่าเรื่องโรงไฟฟ้าขนอมของบริษัทชิโน-ไทย
นายพิชัยกล่าวว่า ในอดีตตนได้ยกเลิกเบนซิน 91 ทำให้มีการใช้เอทานอลมากขึ้นจาก 1 ล้านกว่าลิตร เพิ่มถึง 4 ล้านลิตรต่อวันทำให้ เพิ่มเงินหมุนเวียนภายในประเทศปีละกว่า 24,000 ล้านบาท การปรับลดการสนับสนุนราคาไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพื่อลดค่าไฟฟ้า การยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงลำบากในขณะที่รัฐบาลนี้เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซลอย่างมากถึงลิตรละ 6 บาท การออกบัตรเครดิตการ์ดพลังงานเพื่อเป็นวงเงินเครดิตและลดค่าพลังงาน แนวเดียวกับเครดิตการ์ดเกษตรกรที่ส่งเสริมประชาชนให้หารายได้โดยการทำงาน ไม่เหมือนบัตรคนจน ที่นำแนวคิดบัตรเครดิตไปใช้เหมือนกันแต่แจกเงินฟรีแต่ไม่ส่งเสริมคนทำงาน และที่สำคัญตนได้ตั้งศูนย์แก้ไขน้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วมใหญ่ขณะนั้นที่กระทรวงพลังงานขนาดพลเอกประยุทธ์ยังต้องส่งทหารมาขอใช้พื้นที่ในกระทรวง ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ยังจำได้ ดังนั้นอย่าให้คนไม่มีต้นทุนทางสังคมที่ไม่มีความรู้ออกมาพูดมั่วๆ เพราะสุดท้ายจะสะท้อนภาพลักษณ์ของรัฐบาลเองที่ไม่มีผลงาน แต่กลับพยายามปิดกั้นการรับรู้ความคิดเห็น
“นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์เองจะต้องหาความรู้ทางเศรษฐกิจมากๆ เหมือนที่ตนเคยเตือนมาหลายครั้ง การพูดผิดๆ มาตลอดแล้วต้องคอยมาแก้ตัวยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นลดลงจนไม่เหลือ ขนาดเด็กยังนำมาแปรอักษรล้อเลย อย่างเช่นล่าสุด การจะนำเงินประกันสังคมออกมาปล่อยกู้ ซึ่งทำไม่ได้เพราะผิดข้อกำหนด อีกทั้งยังจะทำให้เกิดความเสี่ยงกับกองทุนที่จะเสียหายได้ เป็นต้น ดังนั้น หากไม่รู้จริงก็ไม่ควรพูด
“ที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่า ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ที่หลักคิดของรัฐบาล ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจคงไม่สามารถทำได้ เพราะคงไปเปลี่ยนแนวคิดของรัฐบาลลำบาก คิดไม่ได้ก็คือคิดไม่ได้ ซึ่งหากคิดได้แค่นี้เศรษฐกิจไทยคงทรุดยาว ดังนั้น หากจะต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ผล คงจะต้องปรับ ครม.เศรษฐกิจทั้งหมด โดยเฉพาะต้องปรับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก่อนใครเพื่อน โดยต้องหาคนที่มีความรู้ความสามารถและรู้เรื่องจริงเข้ามาทำงานแทนทั้งหมด” นายพิชัยกล่าว