เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดงาน “อาชีวศึกษาทวิภาคีไทย” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อาชีวศึกษา ฝีมือชนคนสร้างชาติ” ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 มกราคม โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้มองเห็นถึงความก้าวหน้าและศักยภาพในการผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศว่าเราต้องการอะไร ซึ่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ครบวงจร ซึ่งอาชีวะจะต้องรู้ถึงความต้องการ และศักยภาพของประเทศจึงจะสามารถผลิตคนให้สอดคล้องเพราะอาชีวะเป็นองค์กรหลักสำคัญที่จะผลิตแรงงานฝีมือให้สอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศและไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องมีการวัดผล เช่น การเรียนภาษาต่างประเทศทั้งภาษาอังกฤษและภาษาต่างๆ ก็จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าสามารถผลิตบุคลากรได้จำนวนเท่าไร แต่จะต้องไม่ลืมภาษาไทยเพราะเป็นพื้นฐานของทั้งหมด ปัจจุบันคนนิยมเรียนภาษาต่างประเทศกันมากทำให้ภาษาไทยเกิดความผิดเพี้ยนไปมากโดยเฉพาะภาษาในโซเชียลมีเดีย ภาษาคนรุ่นใหม่อีกหน่อยคงต้องมีพจนานุกรมเล่มใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะคำย่อยต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดนี้คิดและวางนโยบายตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทางและคิดจากปลายทางย้อนกลับมาตั้งต้น ซึ่งระหว่างทางก็จะเจอปัญหาโดยเฉพาะการเชื่อมต่อต่างๆ หากถามถึงผลสำเร็จ แต่ละแผนงานถือว่าดีเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถามถึงผลสำเร็จร่วม มีไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นี่คือปัญหาของประเทศไทย วันนี้เราจึงต้องมาจับมือร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน ธุรกิจอาชีวศึกษาจึงถือเป็นตัวระบบขับเคลื่อนที่สำคัญต้องเรียนไปด้วย และรู้ไปด้วย
“การเรียนรู้จะต้องรู้ตั้งแต่ใจตัวเองว่าเราจะอยู่อย่างไรในวันข้างหน้าและอนาคตที่จะไม่เกิดความขัดแย้งและรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่วมมือ การแก้ปัญหาและการร่วมมือกับรัฐอย่างไรโดยเฉพาะรัฐที่มีธรรมาภิบาลจะต้องร่วมมือด้วยความถูกต้องไม่ใช่อะไรก็ต่อต้านขัดแย้งทั้งหมดเพราะอย่าลืมว่า วันนี้มันคือปัญหาของประเทศวันนี้ คนเก่งมีเยอะ คนดีมีมาก แต่ก็มีคนเลวเยอะ ทำอย่างไรจะให้มีคนดีมากกว่าคนเลวซึ่งเรามีกฎหมายจัดการกับคนเลวอยู่แล้วประเด็นสำคัญทำอย่างไรอย่าให้คนเหล่านี้มาสร้างความเดือดร้อน สร้างปัญหาให้กับประเทศหนทางที่จะทำให้เกิดความสงบและสันติอย่างเดียวคือด้วยตัวของเราเอง ด้วยกฎหมาย สังคม ซึ่งการศึกษาจึงถือเป็นหลักสำคัญที่ต้องเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ลงไปว่าทำอย่างไรเราจะมีชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุขในวันข้างหน้าสนับสนุนรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ในการพัฒนาประเทศไม่ใช่มองอะไรเป็นชิ้นๆ ต่างคนต่างทำมันไม่ได้วันนี้มันคือปัญหาของประเทศ เมื่อเรายังไม่มีความพร้อมทั้งเศรษฐกิจรายได้ประเทศก็ต้องร่วมมือกันในทุกๆ ด้าน ขอให้ลืมตัวเองไปก่อนแล้วให้คิดถึงปัญหาของประเทศวันนี้มีเวลาที่จะปฏิรูปประเทศอีกไม่นานเพราะฉะนั้นต้องใช้เวลานี้เดินหน้าทำงานไม่เช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ ผมไม่ได้ขู่ ไม่ได้ไปไล่ล่าใครแต่มันเป็นข้อเท็จจริงของประเทศ เวลา 1 ปี 6 เดือนที่เหลือผมต้องการเร่งรัดงานตามนโยบายต่างๆ จะต้องบูรณาการร่วมกันให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯกล่าวต่อว่า ขณะนี้เราต้องคิดทั้งหมดโดยเฉพาะฝ่ายการศึกษา ไม่ใช่คิดแต่งานของตัวเองต้องคิดงานแบบเชิงบูรณาการทั้งเศรษฐกิจระดับล่าง ชุมชนไปยังอำเภอ จังหวัด เขตเศรษฐกิจพิเศษสู่ประชาคมอาเซียนทุกกิจกรรมต้องเชื่อมโยงกันการผลิตคน ไม่ใช่ผลิตเพื่อในประเทศอย่างเดียวต้องพร้อมผลิตเพื่อไปทำงานในต่างประเทศด้วยซึ่งที่ผ่านมาการศึกษาของเรามีปัญหาทำให้พื้นฐานของคนแตกต่างกัน ตนไม่ได้โทษใครแต่ในภาคการศึกษาก็บอกว่าเป็นเพราะเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยเกินไป ซึ่งตนถามว่าใครคนเปลี่ยนก็พวกพรรคการเมืองที่เปลี่ยนกันเอง
นายกฯกล่าวต่อว่า วันนี้ต้องย้อนมาสู่เรื่องรัฐธรรมนูญ แผนการปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต้องเอาเรื่องเหล่านี้มาคิดไม่เช่นนั้นมันไปไม่ได้ต้องสอนให้คนมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบให้มากขึ้นด้านธุรกิจเราต้องเปิดประตูประเทศไทยเพื่อมีศักยภาพในการแข่งขันของตัวเองซึ่งสิ่งเหล่านี้ตนกำลังขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งวันนี้ประเทศไทยยังติดกับดักตัวเอง กับดักประชาธิปไตยกับดักสิทธิมนุษยชน กับดักการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่เขียนเพื่อประชาชนโดยรวมตนไม่เข้าใจทุกประเทศที่เขาเจริญก้าวหน้าเขาเอากฎหมายเป็นหลักทั้งสิ้นกฎหมายต้องเป็นพื้นฐานถ้าคนไม่ละเมิดกฎหมายก็ไม่ต้องใช้กฎหมายแรงทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนนั่นแหละคือความเท่าเทียมแท้จริงในโลกใบนี้
นายกฯกล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลออกกฎหมายไปสี่ร้อยกว่าฉบับยังไม่พอเพราะที่ผ่านมายังไม่เคยปรับแก้กฎหมายมีผลกระทบกับภาคธุรกิจเพราะกฎหมายล้าสมัย วันนี้ต้องแก้กันทุกวันและการแก้กฎหมายมันง่ายที่ไหนและอะไรๆ ก็จะให้ใช้มาตรา 44 ซึ่งถามว่ามาตรา 44 จะไปใช้กับอาเซียนได้ไหม ถ้าได้ตนจะออกให้การแก้กฎหมายเหล่านี้ต้องเข้าสู่กระบวนการ สนช. ที่จะพิจารณากัน 3 วาระโดยที่รัฐบาลส่งกฎหมายต้นทางไปให้พิจารณาจะผ่านไม่ผ่านก็ต้องไปว่ากันมา
“ผมบอกแล้ว ผมเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง วันนี้ผมยังแข็งแรงอยู่ ถ้าตราบใดยังเสียงดังถือว่ายังโอเค ไม่เคยยอมแพ้ เพราะผมแพ้ผมก็อยู่ไม่ได้ คิดแบบผมคิดบ้าง ผมไม่ได้คำนึงว่าผมจะอยู่อย่างไรในวันข้างหน้า ถ้าผมกังวลคงไม่มายืนตรงนี้หรอก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว