อนุกมธ. รับ นิสิตนศ. เสนอแนวทางแก้ไขรธน. ชี้ หลายเรื่องตรงกัน ด้าน “นิกร” เผย 3 ทางรื้อ “ตั้งส.ส.ร. –แก้หลายมาตรา มีผลก่อน –หลังบทเฉพาะจบ” หวังเปิดทางส.ว.ร่วม หน่วยงานรัฐ เจอเด็กฟ้อง หลังโดนกดดันจัดแฟสชม็อบ บางรายครอบครัวโดน ด้าน “พีระพันธ์” รับปากประสานให้ หวังคลายสถานการณ์
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น ในกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กล่าวถึงการรับความคิดเห็นของนิสิตนักศึกษาต่อแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในเวทีรับฟังความเห็นนิสิตนักศึกษา 45 สถาบันเมื่อวันที่ 13 มีนาคมคมที่ผ่านมานั้น หลายประเด็นที่นิสิตนักศึกษาได้สะท้อนออกมานั้น ในฐานะเลขานุการฯ เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง เพราะเป็นข้อเรียกร้องแบบเสรีประชาธิปไตยที่เป็นเหตุเป็นผล หลายเรื่องทำได้จริงในทางการเมือง และที่สำคัญยังสอดคล้องกับสิ่งที่อนุกมธ.ได้พิจารณาไว้ด้วย ทั้งวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มานายกรัฐมนตรี ที่มาและอำนาจส.ว. สิทธิและเสรีภาพ รวมไปถึงสิทธิในการเข้าถึงสิทธิในการศึกษา เป็นต้น ถือว่า เป็นสิ่งที่น่าพอใจที่คนรุ่นใหม่ได้มาแสดงความเห็นที่น่าชื่นชม
นายนิกร กล่าวว่า สำหรับในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการเข้าถึงสิทธิทางการศึกษา ถือว่าตรงกันมากที่สุด เพราะแม้จะมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยข้อยกเว้นตามกฏหมายที่ว่า สิทธิเสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดกับศีลธรรมอันดีงาม ต้องเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อย และในรัฐธรรมนูญ 2560 ยังพิเศษกว่านั้น โดยเพิ่มคำว่า ความมั่นคงเข้าไปด้วย จึงกลายเป็นว่า เป็นเสรีภาพที่ไม่เป็นจริงโดยมีกุญแจล็อก 3 ชั้น โดยอนุกมธ.เสียงส่วนใหญ่ได้เสนอให้ตัดเงื่อนไขในเรื่องความมั่นคงออกไป ขณะที่เรื่องสิทธิทางการศึกษา 12 ปีนั้น แม้จะเป็นความปรารถนาดีของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ตั้งใจให้รัฐเข้าไปดูแลเด็กก่อนวัยเรียน แต่ต้องยอมรับว่า ระยะเวลา 12 ปีก่อนวันเรียน ทำให้ไม่ครอบคลุมถึงชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งอนุกมธ.เสียงส่วนใหญ่ได้เห็นชอบร่วมกันว่า สิทธิทางการศึกษาต้องคลอบคลุมตั้งแต่ก่อนวัยเรียนไปจนถึงชั้นมัธยมฯ แต้ประเด็นนี้ทางนักศึกษาได้เสนอให้ขยายไปถึงปริญญาตรี ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องเกินเลย แต่ในด้วยการจัดการของรัฐ อาจจะยังไม่เป็นจริงได้ในขณะนี้ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณหากบัญญัติลงไปในรัฐธรรมนูญ
นายนิกร กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มานายกฯนั้น นิสิตนักศึกษาเสนอว่า ควรมาจากการเลือกตั้งนั้น อีกทั้งส.ว.ไม่ควรมีอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯนั้น สำหรับอนุกมธ.ได้พิจารณาเรื่องนี้เป็น 2 ทาง คือ ก่อน และหลังสิ้นบทเฉพาะกาล เพราะข้อเรียกร้องในส่วนนี้ เมื่อสิ้นสุดบทเฉพาะกาลแล้ว เงื่อนต่างๆที่นิสิตนักศึกษาเสนอจะหายไป ทั้งส.ว.สรรหา โควต้าผบ.เหล่าทัพ อำนาจส.ว.ในการโหวตนายกฯ รวมไปถึงที่มานายกฯที่เปิดช่องไว้ในบทเฉพาะกาลด้วย โดยจะกลับไปยึดตามบทหลักโดยให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ซึ่งความเห็นของอนุกมธ.ในเรื่องนี้มี 2 ส่วน ส่วนแรกให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับ ส่วนที่สอง ให้มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม 200 คน แต่มีอำนาจเพียงแต่กลั่นกรองกฏหมาย โดยที่คณะกรรมการสรรหาต้องมีเข้มข้นชัดเจน ส่วนวิธีการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มีข้อเรียกร้องให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมา เพื่อรับฟังประชาชนโดยกว้าง เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า ภาพเก่าของส.ส.ร.เป็นสิ่งที่ผู้คนประทับใจ แม้แต่ฝ่ายการเมืองก็เห็นด้วย แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ว่าจะสามารถทำได้จริงเพียงใด เบื้องต้นอนุกมธ.ยังไม่ได้มีข้อร่วมกัน
“แม้วันนี้จะได้ข้อสรุปร่วมกันแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเหตุทำให้ต้องแก้ไข จากปัญหาในหลายเรื่อง แต่ต้องมาพิจารณาวิธีการแก้ไขที่ทำได้คืออะไร โดยในอนุกมธ.มีความเห็นแบ่งเป็น 3 แบบ 1.สนับสนุนให้มีส.ส.ร. 2.สนับสนุนให้แก้เฉพาะจุดสำคัญ เป็นหมวดไป โดยแก้ก่อนที่บทเฉพาะกาลจะสิ้นสุด และ 3.แก้เฉพาะจุดสำคัญ เป็นหมวดๆ โดยให้มีผลหลังจากที่บทเฉพาะกาลสิ้นสุดไปแล้ว ซึ่งในแบบที่ 3 เห็นว่า ถ้าให้มีผลทันทีอาจจะไม่ได้รับความร่วมมือจากส.ว. เพราะเราจำเป็นต้องได้เสียง ส.ว.มาสนับสนุน ซึ่งการจะแก้ไขโดยให้มีผลก่อนโดยตัดอำนาจของส.ว.ชุดนี้ทิ้งด้วย จะทำให้เขาไม่มาร่วม และสุ่มเสี่ยงที่จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย จึงได้มีการเสนอให้ตัดเงื่อนไขต่างออกให้หมด โดยใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมกชิกทั้ง 2 สภาเป็นใบเบิกทางแรกก็น่าจะเพียงพอ และทำให้คนยอมรับได้ แม้น้องๆจะเสนอให้ใช้เสียงกึ่งหนึงก็พอ แต่ผมคิดว่า มันง่ายไปสำหรับรัฐธรรมนูญ ซึ่งการเสนอแบบนี้ เพราะอยากให้แก้ได้ ค่อยๆเปลี่ยนผ่านมันไป ไม่สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง” นายนิกร กล่าว
นายนิกร กล่าวว่า ยืนยันว่า ทุกความเห็นที่นักศึกษาเสนอเข้ามา จะไม่มีส่วนไหนตกหล่นหรือหายไป จะถูกรวบรวมบันทึกเป็นรายงานไว้อย่างละเอียด และจะอยู่กับสภาตลอดไปเพื่อให้ผู้แทนราษฎร ได้นำมาใช้พูด เป็นปากเป็นเสียงแทนในสภาอย่างไรก็ตาม แม้ว่า ทั้งหมดจะไม่ใช้ความเห็นโดยรวมของนิสิตนักศึกษา แต่ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน เข้าใจในส่วนนี้ดี เพราะมีนิสิตนักศึกษาหลายคนยังได้ในใช้เวทีในการรับฟังความคิดเห็นฟ้องต่อกมธ.ด้วยว่า จากการที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวจัดแฟลชม็อบที่ผ่านมา ได้เกิดปัญหาคือมีหน่วยงานของรัฐไปกดดัน ที่สำคัญยังไปกดดันครอบครัวของพวกเขา จึงทำให้มีความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ถือเป็นความคับข้องใจที่พวกเขาได้สะท้อนออกมาในเวทีนี้ ซึ่งทางกมธ.ได้รับฟัง โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกมธ.ได้รับปากว่า จะไปประสานดูแลเรื่องนี้ให้ เพราะที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งแล้วว่า ห้ามไปกดดันนิสิตนักศึกษาเหล่านี้ที่ออกมาแสดงออก กมธ.จึงจะเป็นกลไกที่จะรับเรื่องราวนี้ไว้แล้วประสานงานเพื่อการแก้ไขต่อไป ถือเป็นเรื่องที่ดีมากในสถานการณ์นี้