‘ส.ส.ก้าวไกล’ แนะรัฐบาลปูพรมตรวจคนติดเชื้อทั่วประเทศ ควบคู่ประกาศเคอร์ฟิว

‘ส.ส.ก้าวไกล’ แนะรัฐบาลปูพรมตรวจคนติดเชื้อทั่วประเทศ ควบคู่ประกาศเคอร์ฟิว หวั่นสถานการณ์วนลูปคุมการแพร่ระบาดไม่อยู่

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า 1 สัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่มีการประกาศใช้ พระราชกำหนด ( พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หลายจังหวัดตั้งด่านตรวจคนเดินทางระหว่างจังหวัด บางจังหวัดประกาศล็อกดาวน์ห้ามคนเข้าออกพื้นที่ และล่าสุดได้มีการประกาศเคอร์ฟิวช่วง 4 ทุ่ม-ตี 4

นายธัญญ์วาริน กล่าวต่อว่า สิ่งที่เรายังไม่เห็นก็คือการตรวจหาผู้ติดเชื้อในเชิงรุก จนถึงวันนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า “พียูไอ” คำนี้ย่อมาจาก Patient Under Investigation หมายถึงผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ซึ่งก็คือคนที่มีอาการและประวัติเสี่ยงต้องได้รับการตรวจหาเชื้อ โดยตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดถึงวันที่ 1 เมษายน ไทยมี PUI ทั้งหมด 21,603 ราย ค่าเฉลี่ยการตรวจ PUI ใหม่ ตกวันละ 1,190 ราย ตรวจพบเชื้อเฉลี่ยวันละ 120 ราย หรือราว 10% เท่ากับว่าเรามีสัดส่วนการตรวจหาเชื้อ 322 รายต่อประชากรล้านคน ในขณะที่เกาหลีใต้ที่เป็นต้นแบบของการตรวจหาผู้ติดเชื้อแบบปูพรมตรวจหาเชื้อ 5,200 รายต่อประชากรล้านคน

“ปัญหาคอขวดในการตรวจหนีไม่พ้นการต้องเพิ่มศักยภาพในการตรวจ จัดหาน้ำยา และเครื่องตรวจที่เพียงพอกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่เริ่มมีการระบาดหนัก เพราะทุกวันนี้จังหวัดที่ยังไม่มีเครื่องและยังจะต้องส่งตัวอย่างเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำให้เสียเวลาไปกับการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ นอกจากนี้ในสัปดาห์ที่แล้วองค์การอนามัยโลกออกมาให้ความเห็นว่า การล็อกดาวน์จะไม่มีประโยชน์หากไม่มีการตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด

Advertisement

นายธัญญ์วาริน กล่าวต่อว่า สำหรับในกรณีของประเทศไทยถึงแม้มาตรการล็อกดาวน์จะยังไม่มีเข้มข้นเท่าประเทศอื่น แต่ถ้าไม่มีปูพรมตรวจ ก็ไม่สามารถแยกผู้ป่วยเพื่อทำให้เข้าถึงการรักษาและหาทางป้องกันได้ ต่อให้สถานการณ์ดีขึ้น เลิกมาตรการรักษาระยะห่าง ปัญหาเดิมก็จะวนลูปกลับมาอีก สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญอยู่ตอนนี้คือ ความพยายามของรัฐบาลที่จะปกปิดความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์การขาดแคลนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั้งน้ำยาตรวจ เครื่องตรวจ ชุด PPE หน้ากากอนามัย และ FACE-SHIELD

“บุคลากรทางการแพทย์ออกมาพูดถึงความเดือดร้อนความขาดแคลน โพสต์รูปใส่ชุดกันฝนแทนชุด PPE ใส่ถุงพลาสติกแทนรองเท้ากันเชื้อ ทำ FACE-SHIELD ใส่กันเอง จนมีเจ้าหน้าที่ติดเชื้อ ซึ่งก็ส่งผลให้ต้องไปกักตัวจนต้องปิดโรงพยาบาล ถือว่าเป็นการลดกำลังการรักษาไปอีก เมื่อความจริงต่างๆ ปรากฏ ก็มีคำสั่งมาจัดการปิดปากไม่ให้พูดความจริง ซึ่งประชาชนก็ต้องระดมกันทำอุปกรณ์ต่างๆ ส่งไปช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ดังนั้นถ้าประกาศเคอร์ฟิว แต่ไม่มีการปูพรมตรวจให้ทั่วถึง และไม่จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอ ก็ไม่สามารถล็อกดาวน์เชื้อโควิด-19 ได้อย่างแน่นอน” ธัญญ์วาริน กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image