‘ครป.’ จับตาเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ห่วงปมล็อกสเปก

‘ครป.’ จับตาเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ห่วงปมล็อกสเปก

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้จัดประชุมคณะกรรมการ ที่ปรึกษา และเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อตรวจสอบการทำงานและแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) โดยมีความเห็นและข้อเสนอดังนี้

1.ครป.เห็นว่า หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจไทยจะเกิดวิกฤต ขนาดเศรษฐกิจจะเล็กลง และเต็มไปด้วยหนี้สาธารณะระยะยาว จากเงินกู้ที่ใช้โดยขาดประสิทธิผล งบกลางหมดไปหลายแสนล้านและตรวจสอบไม่ได้ ในขณะที่ไร้ความหวัง สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยอับจนปัญญาและไม่มีทางออกให้สังคม จึงเป็นปัญหาความล้มเหลวของประเทศไทยในระยะยาว โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากคือธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม สถานประกอบการ ร้านอาหาร นักดนตรีและคนทำงานกลางคืน ซึ่งจะฟืนตัวได้ช้าที่สุด จะเกิดการล้มละลายของสถานประกอบกลางขนาดกลาง-เล็ก บางแห่งเกิดการย่อยยัปอัปปางไม่สามารถฟื้นตัวได้ บางคนก็ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการเยียวยาแก้ไข นอกจากนโยบายให้สถาบันการเงินอนุมัติวงเงินให้เงินกู้จำนวนหนึ่ง ขณะนี้การจ่ายคนงานในระบบประกันสังคมล่าช้ามาก จะครบ 3 เดือนแล้วแต่คนตกงานยังไม่ได้เงินจำนวนมาก และต่อไปคนตกงานจะมากขึ้นกว่าเดิมมาก อาชีพคนทำงานกลางคืน นักดนตรี และคนตกงานจะกระจาย รัฐบาลเลยดำริจะตั้งโรงทานขึ้น ซึ่งไม่ใช่การแก้ไขปัญหา

2.ขณะที่ความเหลื่อมล้ำมหาศาล ช่องว่างการกระจายรายได้แย่ติดอันดับโลก รัฐบาลยังไม่มีนโยบายการแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างที่คนเพียง 10% ครอบครองโภคทรัพย์กว่า 90% ของประเทศ นอกจากการขอความเห็นจาก 20 มหาเศรษฐี ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้เห็นโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมมหาศาล ต้องแก้ไขโครงสร้างและนโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้เพื่อสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

Advertisement

3.ครป.และเครือข่ายภาคประชาชนกำลังจับตา โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมด้วยเพดานเงินกู้ 400,000 ล้าน ภายใต้ พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และเห็นว่ารัฐบาลจะต้องให้ชุมชนและสังคมมีส่วนร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมด้วย ไม่ใช่เรื่องขององค์กรภาครัฐอย่างเดียว เท่าที่มีการตรวจสอบเรื่องนี้อาจจะมีการคอร์รัปชั่นเงินกู้ของประเทศหากไม่กระทำให้โปร่งใสมีธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตามคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้มาจากหน่วยงานราชการทั้งหมด โดยสภาพัฒน์ฯ ภายใต้สำนักนายกฯ รับเป็นเจ้าภาพ แต่กระทรวงการคลังบริหารจัดการ โดยที่กระทรวงมหาดไทยมียอดขอใช้งบประมาณมากที่สุด นอกจากนั้น การตั้งอนุกรรมการทั้ง 3 ชุดรวมคณะกรรมการ 42 คนแต่ต้องพิจารณาโครงการมากกว่า 3-4 หมื่นโครงการภายใน 20 วัน เท่ากับต้องพิจารณาโครงการวันละกว่า 2,000 โครงการซึ่งเป็นไปไม่ได้

4.กรณีผลักดันการเข้าเป็นสมาชิก CPTPP มองว่า รัฐบาลควรสนับสนุนการเกษตรกรรมที่ยั่งยืนซึ่งเป็นหลังพิงที่สำคัญของคนไทย ส่งเสริมภาคการผลิตที่สมดุล พลังงานสะอาด ที่จะเป็นรากฐานในระยะยาว รวมถึงความเป็นเมืองท่าแห่งการค้าขายและ Supply chain ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยตั้งแต่ยุคสมัยสุวรรณภูมิ รัฐบาลควรส่งเสริมให้ชุมชนสร้างรากฐานและสามารถจัดการตัวเองได้ รวมถึงดูแลภาคแรงงานที่เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการฟืนฟูประเทศ ประเทศไทยจะต้องดูแลและรักษาภาคแรงงานไว้ แรงงานในระบบ นอกระบบ และภาคเกษตรกรรม คือกำลังที่สำคัญที่สุดของไทยในอนาคต

นายเมธากล่าวว่า ครป. ขอให้รัฐบาลระมัดระวังการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้อำนาจนอกวัตถุประสงค์ในการควบคุมโรคเพื่อควบคุมประชาชน ตามหนังสือที่กระทรวงกลาโหมมีถึง กสทช. ขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือส่งข้อมูลตำแหน่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การทำบิ๊กดาต้า (Big Data) รวมถึงการเชื่อมโยงแอพพลิเคชั่นไทยชนะเพื่อติดตามพลเมือง หากมีเป้าหมายด้านความมั่นคงและผลประโยชน์จากระบบข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น

Advertisement

“ครป.จะจับตาการใช้งบประมาณเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจุบันหนี้สาธารณะของประเทศไทยทะลุ 7 ล้านล้านบาทแล้ว รัฐบาลจะต้องประหยัดและหาวิธีแก้ เงินกู้ควรจะต้องส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐานเพราะเป็นภาระของลูกหลานในอนาคตที่จะต้องแบกภาระและร่วมรับผิดชอบไปอีกนาน ไม่ใช่ให้หน่วยงานรัฐบาลและท้องถิ่นนำไปสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเดียว และโครงการส่วนใหญ่สามารถใช้งบประมาณประจำปีได้อยู่แล้ว” นายเมธากล่าว

ย้อนอ่าน : ธปท.แจง หนี้ 6 ล้านล้าน แค่งบการเงิน ไม่ใช่หนี้สาธารณะ ไม่เป็นภาระต่อฐานะการคลังปท.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image