ปชป.จัดสัมมนา ส่งรมต.-ส.ส.ติดเกาะเสม็ด ปิดห้องเคลียร์ใจ ปรับยุทธศาสตร์ใหม่สู้คู่แข่ง

แฟ้มภาพ

สัมมนา ปชป.ที่เกาะเสม็ด เตรียมปิดห้องเคลียร์เฉพาะ รมต.-ส.ส. ปรับยุทธศาสตร์พรรคสู้การเมืองยุคใหม่ “สาทิตย์” แนะถึงเวลาประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนแว่นมองการเมืองใหม่ได้แล้ว เพื่อสู้พรรคคู่แข่ง พร้อมประเมิณผลงาน รัฐมนตรีก่อนชี้ชะตาใครหลุดเก้าอี้ ชี้ไม่ใช่เป็นจนกัลปวสาน

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างวันที่ 10-12 ก.ค.นี้ ที่เกาะเสม็ด จ.ระยอง ว่า งานสัมมนาครั้งนี้จะมีเฉพราะส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคพูดคุยกัน ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้เกิดจากข้อเสนอในที่ประชุม ส.ส.พรรคเสนอว่า ควรไปหาที่พูดคุยกันอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีใครออกไปไหนไม่ได้ เพราะให้ทุกคนจะมีสมาธิในการเปิดใจกันอย่างเต็มที่ จึงได้เลือกมาสัมมนาที่เกาะเสม็ด จ.ระยอง สำหรับประเด็นในการพูดกันนั้นมีหลายเรื่อง เหมือนกับเป็นยำหลายรส ทั้งการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในภาพรวม การเตรียมการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น และประเด็นที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราคือเรื่องทิศทางและยุทธศาสตร์ของพรรคนับจากวันนี้ไปถึงอนาคตว่าจะต้องเป็นอย่างไร เพราะส.ส.และสมาชิกพรรคหลายคนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนไปอย่างไม่มียุทธศาสตร์ชัดเจน จึงต้องการให้ทุกคนที่มาร่วมสัมมนา ช่วยกันคิดระดมสมองกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคที่ชัดเจน รวมทั้งการสะท้อนปัญหาการทำงานในพื้นที่ด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่พรรคทำไปนั้นเข้าตาประชาชนหรือไม่

“สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างพรรคอนาคตใหม่ที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นพรรคก้าวไกล และมีคณะก้าวหน้าที่เกิดนหน้าสนามการเมืองท้องถิ่นเต็มที่ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ มีการปรับเปลี่ยนดุลอำนาจภายในของตัวเองอย่างรุนแรง โดยมีพล.องประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกนมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งจะสื่อให้เห็นว่า อำนาจฝ่ายรัฐมีความเข้มแข็งมากขึ้น รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆที่ร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ยังเป็นคู่แข่งที่มีการรุกคืบพยายามยึดฐานเสียงของประชาธิปัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ในอีกทางสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งให้การเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นและความต้องการของประชาชนก็เปลี่ยนเร็วขึ้นเช่นกัน ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องมาพูดคุยถึงประเด็นทั้งหมดนี้อย่างจริงจัง ทุกคนต้องเปลี่ยนแว่นตาในการมองการเมืองยุคใหม่ เลิกใช้ประสบการณ์เก่าๆมามองการเมืองในตอนนี้ได้แล้ว”นายสาทิตย์ กล่าว

นายสาทิย์ กล่าวว่า นอกจากนี้จะต้องพูดคุยถึงเรื่องการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ภายในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัฐมนตรีและส.ส.ของพรรคจะต้องมีแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างไร ซึ่งการพูดคุยในสิ่งเหล่านี้จะมีการแตกประเด็นมากพอสมควร สำหรับเรื่องการปรับครม.ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้นตนคิดว่าคงยังไม่มีการพูดถึงว่าควรจะต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ แต่สิ่งที่ต้องมาพูดกันคือจะต้องมีการประเมิณผลงานของรัฐมนตรีของพรรคหลังจากได้ทำงานมาแล้วประมาณ 1 ปี โดยทำได้ 2ส่วนคือ 1.ประเมินภายนอก อาทิ การทำโพล และ 2.การประเมินภายใน โดยจะมีการประเมินร่วมกันว่ารัฐมนตรีแต่ละคนได้นำนโยบายของพรรคไปดำเนินการมากน้อยแค่ไหนครบหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีของพรรคต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีวาระของตัวเอง ซึ่งไม่เกิดผลที่เป็นประโยชน์ต่อพรรค ทั้งที่รัฐมนตรีทุกคนถูกส่งไปในนามพรรค ดังนั้นจึงต้องมาประเมิณกันก่อนว่าผลโดยรวมเป็นอย่างไร ส่วนจะปรับใครหรือไม่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง แต่ตนก็ไม่มีรู้ว่าจะมีส.ส.คนไหนเสนอในที่ประชุมสัมมนาว่าจะต้องมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีหรือไม่

“ส่วนตัวมองว่าการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เมื่อทำงานกันมานานพอสมควรระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีใครเป็นรัฐมนตรีได้จนกัลปวสาน และถ้าใครคิดว่าเมื่อตัวเองได้เป็นรัฐมนตรีแล้วไม่มีใครทำอะไรได้ ก็จะเกิดอาการตายใจ ทำให้การทำงานไม่ก้าวหน้า พรรคประชาธิปัตย์จึงมีหลักว่าเมื่อทำงานมาระยะหนึ่งก็ต้องมีการประเมิณผลงานรัฐมนตรี ดังนั้นเราต้องดูว่าการปรับรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐจะส่งผลกระทบกับประชาธิปัตย์อย่างไร”นายสาทิตย์ กล่าว

Advertisement

เมื่อถามว่า คาดหวังว่าหลังจากกสัมมนาาครั้งนี้แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ส.ส.ที่มาร่วมสัมมนาครั้งนี้หลายคนคาดหวังว่า หลังได้พูดคุยกันแล้วพรรคจะมีคำตอบ หมดเวลาที่จะมานั่งบ่นกันเอง เพราะทุกคนกังวลถึงอนาคตของพรรคและคะแนนนิยมของพรรค ขอย้ำว่าเราต้องหันมาพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังและเร็วที่สุดเพราะนับจากนี้ไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ และมีปัญหาของประชาชนอีกหลายเรื่องที่ยังรอการแก้ปัญหาส.ส.จึงต้องการสะท้อนให้รัฐมนตรีได้ฟังให้เขาได้เปิดหู เปิดตา มารับฟังแล้วไปแก้ไข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image