‘มาร์ค’ เผยเหตุไม่หนุน ‘บิ๊กตู่’ เป็นนายกฯ เย้ย พปชร.ความสงบช่วยได้เป็น รบ. ไม่ใช่นโยบาย

แฟ้มภาพ

‘มาร์ค’ เผยเหตุไม่หนุน ‘บิ๊กตู่’ เป็นนายกฯ เพราะไม่สนสวัสดิการรัฐ เย้ย พปชร. ความสงบช่วยได้เป็น รบ. ไม่ใช่นโยบาย

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว เครือข่าย We Fair จัดเสวนาประเมินผลงาน 365 วันรัฐบาลประยุทธ์ รัฐสวัสดิการไทยถดถอยหรือก้าวหน้า โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า หลังการแพร่ระบาดของไว้รัสโควิด-19 คนได้รับผลกระทบจากตัวโรค มาตรการเอาชนะโรค ภาพความเดือดร้อนตกหนักที่สุดคนเสียเปรียบทางสังคม จนความเหลื่อมล้ำรุนแรงและน่าตกใจ ตนเห็นด้วยในการกับกดดันให้มีระบบสวัสดิการ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า สวัสดิการหลายเรื่องการเมืองมีส่วนสำคัญมาก อย่างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เกิดขึ้นพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่ส่วนราชการ นโยบายเรียนฟรี เกิดสมัยที่ตน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือผู้นำทางการเมืองมีแนวคิดอย่างไร ถ้าไม่มีแนวคิดเรื่องสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า แต่เป็นการสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงสิทธิก็เป็นเรื่องลำบากมากที่จะขยับ จะไปโทษฝ่ายค้านไม่ได้ แม้จะมี ส.ส. แต่เป็นเสียงเสียงข้างน้อยไม่สามารถผ่านกฎหมาย เขียนงบประมาณเองได้ เมื่อเทียบกับพรรคแกนนำรัฐบาลที่กุมสภาพหลักขับเคลื่อนนโยบาย และกุมกระทรวงการคลังตลอดในทุกยุค เช่น ล่าสุดกรณีเด็กเล็กผลักดันให้เป็นสิทธิถ้วนหน้า แต่ไม่สำเร็จ เพราะมีการอ้างเรื่องข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ รวมถึงเรื่องคนพิการเพิ่มจาก 800 เป็น 1,000 บาท มีการสร้างเรื่องว่าจะต้องมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจากผลสำรวจตนจึงไม่แปลกใจ ฉะนั้น แกนนำและรัฐบาลต้องรับผิดชอบ

“เมื่อย้อนกลับไปในช่วงหาเสียง ตนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวทีหาเสียงเชิงนโยบาย พลังประชารัฐ (พปชร.) ถึงไม่ส่งคนมาร่วมเลย เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะได้เป็นรัฐบาลเพราะนโยบาย แต่เขาได้เป็นเพราะนโยบายเรื่องของสงบต่างหาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะผมไม่เชื่อว่าท่านเชื่อในเรื่องเหล่านี้ เพราะทุกครั้งที่มีคนถาม ท่านจะพูดว่าเอาเงินมาจากไหน รวมถึงฝ่ายค้านถามในสภาฯท่านก็พูดแบบนี้ แต่ท่านยืนยันเรื่องการพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจ กระบวนการบริการเศรษฐกิจแบบเดิมที่ท่านเชื่อว่าสร้างรายได้จากการลงทุนของคนมีกำลัง มีผลประโยชน์กับเศรษฐกิจ เพราะจะไหลลงมาที่คนรายได้น้อย ฉะนั้น แนวคิดสวัสดิการสังคมทั่วหน้าจึงไม่อยู่ในหัวผู้มีอำนาจ เห็นจากการเยียวยา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลนี้กลัวไม่มีเงิน แต่ใช้เงินเยอะมาก ก่อนโควิด-19 มีโครงการชิม ช้อป ใช้ คนที่ไปลงทะเบียนไม่ใช่คนที่ลำบากที่สุด ระบบถูกออกแบบให้คนลำบากเสียเปรียบเข้าไม่ถึงมาตรการเหล่านั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการเยียวยาโควิด-19 ตอนแรกตั้งเป้าช่วยคน 3 ล้านคน สุดท้ายหนีไม่พ้น ขยายไปเรื่อยๆ เกือบ 20 ล้านคน ดังนั้น คำถามจึงทำไมไม่ตั้งต้นนำสวัสดิการของรัฐมาใช้ ดังนั้น จากนี้ไปคำถามจะผลักดันอย่างไร และเป็นประเด็นที่จะตอบโจทย์ ปัญหาขับเคลื่อนถ้วนหน้าอย่างไร แต่สำหรับตนข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ทัศนคติของผู้นำของภาครัฐที่ยังไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้น การต้องทำงานเพื่อปรับทัศนคติผู้นำให้ยอมรับสวัสดิการถ้วนหน้าให้ได้ และที่สำคัญต้องปรับปรุงระบบภาษีให้ก้าวหน้ามากกว่านี้เพื่อเอื้อต่อการสร้างสวัสดิการ

Advertisement

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่ค่อนข้างห่วงคือ 5-6 ปีที่ผ่านมา การให้สวัสดิการประชาชนถูกมองว่าเป็นการสงเคราะห์มากกว่าสิทธิถ้วนหน้า มีการทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ดูเหมือนไม่อยู่ในหลักคิดสวัสดิการถ้วนหน้า จึงต้องมีการปรับแก้ แล้วหันมาให้ถูกทาง ขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังคือคนไม่แยกแยะไม่ออกระหว่างรัฐบาลทำเรื่องสวัสดิการ กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือหาเสียง ถ้าเกิดความสับสนอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายนโยบายจะผิดเพี้ยนไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image