“ปิยบุตร” ถามกกต. มาตรฐานอยู่ตรงไหน ยัน กรณีเงินกู้ไม่ควรถูกร้องเอาผิดตั้งแต่แรก

“ปิยบุตร” ถามกกต. มาตรฐานอยู่ตรงไหน ยัน กรณีเงินกู้ไม่ควรถูกร้องเอาผิดตั้งแต่แรก

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่โรงแรมรามาดา   นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กรณีคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยให้ 31 พรรคการเมืองที่กู้เงินว่า ไม่มีความผิด  ว่า ตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ตนยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย เพราะภายใต้ระบบกฎหมายปัจจุบัน ไม่มีบทบัญญัติใดห้ามไม่ให้พรรคการเมืองกู้เงิน และพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น ถ้าหากอยากจะห้ามอะไรก็ตาม ต้องมีกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่เขียนห้ามอย่างชัดแจ้ง นั่นหมายความว่า เป็นการเลือกที่จะกระทำการหรือไม่ก็ได้ จึงมองว่าสามารถกู้เงินได้ แต่ทาง กกต. และ ศาลรัฐธรรมนูญมองอีกแบบ ว่าพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายพรรคการเมือง ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายห้าม แต่ไม่มีกฎหมายใดอนุญาต ขณะเดียวกันยังพูดถึงเรื่องดอกเบี้ย ว่า มีดอกเบี้ยอยู่ 2 สัญญา คือ 7.5 และ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ศาลรัฐธรรมนูญมองเห็นว่าไม่เป็นไปตามธรรมเนียมทางการค้า ซึ่งการกำหนดดอกเบี้ย ส่วนตัวมองเป็นเรื่องของผู้กู้และให้กู้ ทั้ง 2 ประเด็นนี้การอธิบายว่าเป็นประโยชน์อื่นใด เกิน 10 ล้านบาท และลากเอาประเด็นนี้นำมาสู่การยุบพรรค

“ไม่มีความผิดเลย เพียงแค่ กกต.ต้องไม่วินิจฉัยแบบนี้ ความจริงต้องวินิจฉัยว่าทั้ง 31 พรรค รวมถึงอนาคตใหม่ไม่มีความผิด แล้วหากเห็นว่าครั้งนี้เป็นปัญหา ในอนาคตต้องไปเขียนกฎหมายให้ชัดเจนว่าไม่ให้พรรคการเมืองกู้เงิน หรือถ้าจะให้กู้ได้ กู้ได้ห้ามเกินเท่าไหร่ ต้องเขียนให้ชัด ไม่ใช่กฎหมายคุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ แล้วตีความเอาโทษเฉพาะอนาคตใหม่ ส่วนพรรคอื่นไม่เอาโทษ ผมไม่อยากเห็นพรรคการเมืองใดโดนยุบเหมือนที่อนาคตใหม่โดน เพราะจะเกิดการตั้งคำถามถึงบรรทัดฐานการทำหน้าที่ของ กกต.ชุดนี้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ถูกตั้งคำถาม เพราะเชื่อมโยงกับ คสช. และ สนช. ทำงานวันแรกก็มีปัญหา ตั้งแต่จัดการเลือกตั้ง คำนวนคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ การประกาศผลล่าช้า ไม่มีการตรวจสอบการทุจริต จนถึงการยุบพรรค ซึ่งหากองค์กรอิสระ ไม่อิสระเมื่อไหร่ จะเกิดวิกฤตการณ์บ้านเมือง อย่าให้ประชาชนคนไทยตั้งคำถามว่า ในท้ายที่สุดแล้ว องค์กรอิสระจะกลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของระบอบประยุทธ์หรือไม่”

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า ระบบการร้องเรียนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีมากในประเทศไทย ไม่เช่นนั้น นักการเมืองที่เข้ามาด้วยความคิดสร้างสรรค์ ก็อยากจะทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมือง ก็มีระบบตรวจสอบ แต่ทุกวันนี้ การร้องเรียนกลายเป็นอาวุธทำลายล้าง เมื่อไปอยู่ในมือองค์กรอิสระก็เลือกพิจารณาช้า-เร็วต่างกันบ้าง เรื่องนี้ทำแบบนี้ เรื่องนี้ทำแบบหนึ่ง ก็นำมาสู่การตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วมาตรฐานอยู่ตรงไหน ก่อนมีรัฐประหารปี 49 และ 57 ไม่เคยมีการร้องเรียนขนาดนี้ วันนี้ร้องเรียนกันเป็นว่าเล่น กลายเป็นว่านักการเมืองวันแรกของการทำงานต้องคิดก่อนแล้วว่า ทำอย่างนี้จะโดนไหม แล้วก็จะกลายเป็นประเทศไทย มีนักการเมือง พรรคการเมือง ประชาชน ภาคประชาสังคมที่กลายเป็นศรีธนญชัย หาช่องทางร้องกันไป ร้องกันมา เพื่อทำลายล้างกัน ความสร้างสรรค์ไม่เกิด และเป็นอย่างนี้มา 10 กว่าปีแล้ว

ยืนยันว่าการวินิจฉัยตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งนั้น ไม่ถูกต้อง 2 ชั้น ชั้นแรกตั้งแต่กรณีพรรคอนาคตใหม่ และชั้นที่ 2 วินิจฉัยพรรคอื่นด้วยมาตรฐานไม่เท่าเทียมกัน

Advertisement

“ผมและอนาคตใหม่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ขอสงวนสิทธิ์ว่าจะร้องทุกข์กล่าวโทษ กกต.หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นเรื่องสำคัญในการวางบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ ว่าท้ายที่สุดเราจะตกเป็นเครื่องมือของระบอบประยุทธ์หรือไม่ อย่างไร”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image