สมัชชาคนจน อัด กมธ. มักบิดเบือนเนื้อหาร่าง กม. ออกมาใช้ไม่ได้ มีธงโหวต ยึดประโยชน์ตน
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ คณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร และคณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัดกิจกรรม ตลาดนัด “งานสภากับประชาชน” โดยมีเวทีเสวนา มินิคอนเสิร์ต และงานออกร้าน
ในเวลา 10.30 น. มีการเสวนาโต๊ะกลม “ประชาชนกับสภา” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้กลไกสภาแก้ปัญหาชุมชน โดยมีผู้มีประสบการณ์ในการยื่นข้อกฎหมายต่อคณะกรรมการ ร่วมเสวนา
นายบารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน กล่าวว่า มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในที่ป่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตที่ดินอื่นไปของรัฐ สมาชิกเครือข่ายเกษตรกร ทำเรื่องประมง แรงงาน คือสมาชิกของสมัชชาคนจนได้รับผลกระทบจากการพัฒนา เกี่ยวข้องกับสภา เพราะนโยบายออกมาจากสภาด้วยการให้ความเห็นชอบนโยบาย สภาจึงเป็นต้องส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบด้วย เราใช้กลไกรัฐสภาในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเก่าบางเรื่องมีความล้าหลัง ต้องพัฒนาให้ทันสมัย หรือบางเรื่องไม่มีกฎหมายก็ให้มีกฎหมาย ที่สอดคล้องกับปัจจุบันของโลก ซึ่งเมื่อเรารวบรวมรายชื่อไปเสนอกฎหมายได้แล้ว ปัญหาที่เจอ คือ
1.กรรมาธิการจะดึงเรื่องไว้ก่อน หาก ส.ส. หรือหน่วยงานรัฐยังไม่สามารถเตรียมกฎหมายมาประกบได้ แล้วจะเอาร่างรัฐบาลเป็นร่างหลัก ซึ่งหมายความว่าอาจจะไม่ได้เป็นร่างที่ตรงกับเจตนารมณ์ของเราเลยก็ได้ หรืออาจมีบางส่วนที่ตรง แต่เนื้อหาข้างในบิดเบือน ที่ออกมาหลายฉบับใช้การไม่ได้ บางฉบับเราอยากจะปั้นช้าง แต่กลายเป็นยีราฟ เป็นอูฐ ผิดวัตถุประสงค์ในการใช้งาน บางเรื่องถูกตีตก กว่าจะเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ ไม่ได้ทำง่ายๆ คือปัญหาที่เจอ และเบื่อหน่ายกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย แล้วไปเจอเกมการเมืองในสภา ซึ่งหากเข้าไปแล้วสภายังไม่อยากพิจารณา ก็เลื่อนไปเรื่อยๆ มีกฎหมายเร่งด่วนเข้ามาเรื่อยๆ
2.เราใช้กลไกกรรมาธิการในการร้องเรียน มี 35 ชุด หลักๆ คือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข แรงงาน กระบวนการยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และพาณิชย์ ด้วยการยื่นร้องเรียน แต่มีคนหลายกลุ่มที่ร้อง ดังนั้น หากร้องเรียนตามปกติจะถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ ต้องใช้เส้นสายระดับหนึ่ง เพื่อผลักดันให้เรื่องเรามาเป็นอันดับต้นๆ แต่หากมีปัญหา ฝ่ายรัฐบาลที่ต้องชี้แจ้งตั้งตัวไม่ทัน ก็ถูกเลื่อนไปอีก ยืนยันว่า กระบวนการในกรรมาธิการ ไม่ได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล กลับทำภารกิจ ปกป้องรัฐบาล เพื่อไม่ให้เจ็บตัว หรือบอบช้ำให้มากที่สุด เว้นแต่ว่าคุณต้องการเข้าไปแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี ถึงไม่มีเรื่องก็หาเรื่องให้ได้ กลไกกรรมาธิการ กลายเป็นเวทีการเมือง ระหว่างพรรครัฐบาลด้วยกัน ซึ่งกรรมาธิการมาจากทุกพรรค ตามสัดส่วน ซึ่งไม่ได้มีความเป็นเอกภาพ ไม่ได้ประเด็น ถามเพื่อให้เวลาหมดไป บางครั้งหมดเวลายังไม่สามารถสรุปประเด็นได้ บางทีต้องสรุปกว้างๆ คือ “จะทำเรื่องรับทราบไว้” “จะลงพื้นที่ต่อไป” เป็นความหวังว่าจะได้ลงพื้นที่ ลุ้นว่าจะแก้ไขได้บ้าง แต่พอจะลงที่ก็มีคิวตรวจ มีเรื่องศรีพันวา ไปที่นั่นก่อน เพราะเป็นประเด็นการเมือง อาจนำไปสู่การล้มรัฐบาลก็ได้ บางเรื่องไม่ใช่ทำเพื่อตรวจสอบ แต่เพื่อหาทางหักกัน เพื่อได้ประโยชน์ของตัวเอง
นายบารมีกล่าวต่อว่า ที่ปรึกษากรรมาธิการ หลายคนเหมือนเอกชนส่งมา เป็นคนของผู้รับเหมาส่งมา คอยขัดขากันเอง เพื่อให้กรรมาธิการไปต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาล และรัฐมนตรี มีการเรียกรับผลประโยชน์ในสภา เคยเจอจริงๆ นอกจากนี้ ตัวกรรมาธิการเอง น้อยคนจะรู้เรื่องจริงๆ จังๆ หรือถึงไม่รู้เรื่อง เข้ามาแล้วต้องศึกษาภารกิจของคุณให้รู้เรื่องก่อน ไม่ใช่มานั่งบื้อ หรือพูดเอาหล่อเอามันอย่างเดียว ถามว่าชาวบ้านที่มาร้องเรียน อยากทำมาหากิน ไม่อยากมากรุงเทพฯ มานั่งสภา ซึ่งไม่ใช่ที่ของเราที่ต้องมานั่งชี้แจง และกลับไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า เราจะได้อะไรกลับไป
“สำหรับสมัชชาคนจน การร้องเรียนเพื่อให้เป็นข่าวส่งเดชไป อย่างไรก็มาม็อบอยู่วันยันค่ำ” นายบารมีกล่าว และว่า
“อีกช่องทางคือ กมธ.วิสามัญ มีหน้าที่พิจารณากฎหมาย ผมเคยเขาไปนั่งใน กมธ. เถียงกับกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ตรวจราชการ ส่วน ส.ส. ใน กมธ.คอยยกมือเห็นด้วยกับกฤษฎีกา กฤษฎีกาว่าอย่างไร เห็นด้วยหมด แล้วจะมีทำไม ส.ส. แต่ละคนมาชะโงกมอง ที่นั่งเต็ม เซ็นชื่อ แล้วออกไป นี่คือการทำงานของกรรมาธิการจริงๆ หรือ ปล่อยให้เราไปเถียงกับกฤษฎีกา ที่ล้าหลังมาก กมธ.มีธงอยู่อยู่แล้ว คือผลประโยชน์อะไรไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่ของประชาชน ไม่มีประโยชน์ แถมผลาญงบประมาณประชาชน” นายบารมีกล่าว และว่า
อย่างไรก็ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าอย่างไรก็ต้องจบในรุ่นผม และอำนาจนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหาร ต้องแยกกันอย่างเด็ดขาด
