วิโรจน์ ลักขณาอดิศร : ฤา ประเทศนี้ จะเป็นประเทศห้ามพัฒนา อย่างที่เขาว่ากัน

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร : ฤา ประเทศนี้ จะเป็นประเทศห้ามพัฒนา อย่างที่เขาว่ากัน

วันนี้ (21 พ.ย.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เผยแพร่บทความชื่อ “ฤา ประเทศนี้ จะเป็นประเทศห้ามพัฒนา” ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จากการอภิปรายพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ของภาคประชาชนที่เสนอโดย iLaw สิ่งที่ประชาชนที่มีตรรกะ และความคิดในเชิงเหตุผล ที่ยืนบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง รู้สึกผิดหวังมากๆ และไม่อยากจะเชื่อเลย ก็คือ การอภิปรายของคนที่เป็นถึง ส.ว. จำนวนไม่น้อย วนเวียนกับการเอา Fake News ที่แชร์กันในวง LINE เอามาเล่าในรัฐสภา โดยที่ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ใดๆ

ไม่ว่าจะเป็นการเอาเรื่องที่ iLaw รับเงินบริจาคจากต่างประเทศ และยกเมฆเรื่องจักรวรรดินิยม มาใส่ร้าย ซึ่งการรับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญใดๆ เลย เพราะข้อเท็จจริง ในประเทศไทย ก็มีองค์กร และสถาบันการศึกษา อยู่หลายแห่งที่รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ อย่างกรณีของ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA หากอ่านประวัติการก่อตั้ง ก็จะทราบว่าปัจจัยหนึ่งของการเกิดขึ้นของสถาบัน ก็มาจากความเห็นของ นายเดวิด ร็อคกี้เฟลเลอร์ และได้รับความช่วยเหลือในช่วงเริ่มก่อตั้งจากมูลนิธิฟอร์ด ประเด็นสำคัญ จึงควรอยู่ที่พันธกิจ และงานที่ทำมากกว่าว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่เอาประเด็นในเรื่องเงินสนับสนุนจากต่างประเทศมาโจมตีใส่ร้าย ซึ่งอาจารย์จอน อึ้งภากรณ์ ก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกด้วยว่า แม้แต่สถาบันพระปกเกล้า เองก็เคยรับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนสมาชิกวุฒิสภา จะไม่ใส่ใจข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้เลย ยังคงจับจดเชื่อแบบหัวปักปัวปำกับ Fake News ที่แชร์กันตามวง LINE แถม ส.ว. ราย ยังอภิปรายยังโยงมั่วไปถึงนายจอร์จ โซรอส อีกด้วย โดยที่ไม่มีหลักฐานมาแสดงเลยว่านายจอร์จ โซรอส เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจของ iLaw

Advertisement

มีการกล่าวหาว่าร่างของ iLaw จะนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ คือ คุณทักษิณ ถูกทำรัฐประหารไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนปัจจุบันผ่านมา 14 ปีแล้ว ประเทศเสียหายไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ก็ยังจะเอามาอ้าง ทั้งๆ ที่เรื่องความเป็นกังวลที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ก็สามารถหาทางแก้ไขได้ในวาระที่ 2 หรือจะเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาลก็ได้ แต่ก็เอามาเป็นประเด็นที่จะตีตกร่างของ iLaw

มีการใส่ร้าย iLaw ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่สาระสำคัญของร่างของภาคประชาชน ไม่มีการแก้ไขใดๆ ในหมวดพระมหากษัตริย์เลย ประเด็นสำคัญของร่างของภาคประชาชน คือ การรื้อนั่งร้านทั้งหมดในรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ทำให้ คสช. สืบทอด และค้ำจุนอำนาจให้เผด็จการโดยไม่เห็นหัวประชาชน และปรับปรุง แก้ไข ให้รัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง อาทิ
– นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. ปิดทางนายกฯ คนนอก และนายกฯ
– ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ที่ทุกวันนี้จากเหตุการณ์โควิด ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เวิร์ค และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่จะเป็นเงื่อนไขที่เผด็จการ คสช. สามารถใช้เล่นงานรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเปิดช่องให้ ส.ว. แทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติของ ส.ส. โดยอ้างว่าเป็นกฎหมายปฏิรูป
– ยกเลิกการรับรองคำสั่งใดๆ ของเผด็จการ คสช. ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ
– ให้ผู้บริหารท้องถิ่น ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
– ให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
– แก้กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ให้มีความยึดโยงกับประชาชน และให้องค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้งของเผด็จการ คสช. พ้นจากตำแหน่งไป
– ปลดล็อคการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากการยึดกุมของ ส.ว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของ เผด็จการ คสช.
– สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

การที่ ส.ว. ส่วนใหญ่ กล้าที่จะตีตกร่างแก้ไขรัฐธรรนูญของภาคประชาชน ก็สะท้อนชัดแล้วว่า ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของเผด็จการ คสช. นั้นจงใจที่จะเป็นสมุนรับใช้ เป็นนั่งร้านค้ำจุนอำนาจให้กับเผด็จการ คสช. โดยที่ไม่เห็นหัวประชาชน โดยสร้างเรื่องไร้สาระ ที่ไม่มีหลักฐานมาใส่ร้าย ซึ่งไม่เชื่อว่าคนที่มีวุฒิการศึกษา และมีประสบการณ์มามาก จะเหลวไหลได้ถึงขนาดนี้

Advertisement

ยิ่งถ้าดูผลการโหวตของ ส.ว. ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 ที่มุ่งแก้ไขที่มาตรา 279 เพื่อยกเลิกการรับรองคำสั่งของเผด็จการ คสช. ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เสมือนนิรโทษกรรมให้กับเผด็จการ คสช. ในทุกกรณี ปรากฏว่า ร่างนี้ ไม่มี ส.ว. คนใดโหวตรับรองให้เลยแม้แต่คนเดียว สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า ส.ว. ชุดนี้ เป็นสมุนที่คอยปกป้องเผด็จการ คสช. อย่างคุ้มเงินเดือน ทั้งๆ ที่ ส.ว. เหล่านี้ ก็ทราบดีว่า คำสั่งของเผด็จการ คสช. หลายฉบับสร้างปัญหาให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังยอมทิ้งศักดิ์ศรี ปกป้องเผด็จการ คสช. ผู้เป็นเจ้านาย อย่างไม่ลังเล นับจากนี้ ส.ว. ชุดนี้ คงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว ว่าตนเป็นลูกสมุนของเผด็จการ คสช.

นอกจาก ส.ว. แล้ว ที่ผิดหวังมากๆ แต่ก็ไม่เกินความคาดหมาย ก็คือ การโหวตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่โหวตไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกฉบับ ซึ่งสะท้อนว่า คนที่ดูแลนโยบายการศึกษาของประเทศนี้ พยายามที่จะตรึงประเทศนี้ให้อยู่ภายใต้เงามืดของเผด็จการ คสช. โดยไม่ยอมที่จะเปิดให้ประชาชนได้แก้ไขอะไรเลย สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า การศึกษาของประเทศไทย อาจจะมีแต่ความมืดมิด ล้าหลัง และไร้อนาคต ตราบใดที่รัฐมนตรีคนนี้ ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ และไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกนักเรียนรวมตัวกันขับไล่

การตีตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ด้วยการใส่ร้ายอย่างไร้หลักฐาน ในครั้งนี้ สะท้อนได้ชัดว่า ทั้ง ส.ว. และ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้เห็นหัวของประชาชนเลย ไม่เคยที่จะไว้วางใจประชาชน และไม่ยอมที่จะคลายอำนาจให้กับประชาชน ทั้งๆ ที่ระบอบประชาธิปไตย อำนาจที่แท้จริงนั้น เป็นของประชาชน

อย่าง กรณี สสร. นี่ชัดเจนที่สุด ทำไมต้องกลัว สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และต้องเอาระบบการลากตั้ง เพื่อมาลดทอนอำนาจของประชาชน จนไม่อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชนด้วย ที่ผ่านมาก็อธิบายมาโดยตลอดว่า ที่ผ่านมา การแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ก็เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ นั้นสถิตย์สถาพรกับระบอบประชาธิปไตย เป็นมิ่งขวัญภายใต้รัฐธรรมนูญ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเองก็ต้องอยู่ภายใต้ มาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุเอาไว้ว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทํามิได้” อยู่แล้ว และที่สำคัญ เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า ประชาชนจะเลือกใครเป็น สสร. และหลังจากที่ สสร. ทบทวนแล้ว จะแก้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งอาจจะไม่แก้ไขก็ได้ ไม่มีใครจะคาดเดาได้

การตีตกร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน จึงทำให้ประชาชนรู้โดยทันทีว่า รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ คสช. และองคาพยพเครือข่ายศักดินาอนุรักษ์นิยม ไม่เคยไว้วางใจประชาชนเลย และยังคงยึดกุม กินรวบ สูบกิน ทรัพยากรของประเทศนี้ ต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น ประชาชนจะมีสิทธิ และเสรีภาพได้ ภายใต้การอนุญาตของเผด็จการ คสช. และเครือข่ายศักดินาอนุรักษ์นิยมเท่านั้น ต่อให้ประชาชนอยากจะพัฒนาประเทศนี้มากเพียงไร อยากให้ประเทศก้าวไปข้างหน้ามากขนาดไหน ตราบใดที่เผด็จการ คสช. และกลุ่มศักดินาอนุรักษ์นิยม ที่วันนี้เป็นเพียงคนที่ตามไม่ทันโลก แล้วไม่เห็นด้วย ก็จะพัฒนาอะไรไม่ได้เลย

ฤาประเทศนี้ จะเป็น “ประเทศ” ห้ามพัฒนา จริงๆ อย่างที่เขาว่ากัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image