ผู้ตรวจการแผ่นดิน โชว์ผลงานปี63 เผยสถิติคำร้อง ชี้ ตร.ถูกร้องเรียนมากที่สุด

ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยสถิติคำร้องตั้งแต่ก่อตั้ง 5 หมื่นกว่าเรื่อง พบตำรวจถูกร้องเรียนมากสุด พร้อมโชว์ผลงานปี 63 เสริมมาตรการป้องกันภัยทางน้ำ-ร่วมแก้โควิด-ผลักดันยกเลิกสารเคมีอันตราย ด้าน”วิทวัส”เล็งใช้เวทีผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศกดดันแก้กฎหมาย IUU

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดงานแถลงผลการดำเนินงานประจำปีของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยพล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้แถลง โดยระบุว่า มีสถิติรับเรื่องร้องเรียนในปีงบประมาณ 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563) มีเรื่องร้องเรียน จำนวน 4,948 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 3,059 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 1,889 เรื่อง สำหรับสถิติการรับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานปี 2543 ถึงปีงบประมาณ 2563 รับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น จำนวน 50,489 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 48,598 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 96.25 พบประเด็นร้องเรียนเกี่ยวกับตำรวจสูงสุด รองลงมาเป็นการเมืองและการปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนั้นในงานวันนี้ยังมีการประกวดสโลแกนที่จะสะท้อนถึงหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ในแนวคิด “ผู้ตรวจการแผ่นดิน (Ombudsman) องค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐ” โดยผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 มีสโลแกนว่า “ตรวจสอบรัฐช่วยประชา แก้ปัญหาไม่ชอบธรรม”

ทั้งนี้ พล.อ.วิทวัส กล่าวตอนหนึ่งว่า ตลอด 20 ปีในการปฏิบัติภารกิจเพื่อเดินหน้าแก้ไขเยียวยาบรรเทาทุกข์ของประชาชน ผู้ตรวจการแผ่นดินตั้งอยู่บนหลักการทำงานขององค์กรอิสระ คือ กล้าหาญ สุจริต และเที่ยงธรรม และพร้อมเดินหน้าก้าวสู่ปีที่ 21 ด้วยการยกระดับและพัฒนางานด้านสอบสวนให้เทียบเท่าสากล มีการดำเนินงานอย่างรัดกุม รวดเร็ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีให้สามารถรองรับระบบการแสวงหาข้อเท็จจริงได้หลากหลายมิติและทันเหตุการณ์ยิ่งขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยล่าสุดได้พัฒนา  2 ช่องทางใหม่ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตลอด 24 ชั่วโมง คือ Line Official  : @Ombudsman ซึ่งประชาชนสามารถติดต่อ สอบถาม เข้ามาพูดคุย พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงไปยังแอพพลิเคชั่นการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และเว็บไซต์ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ นอกจากนั้นยังมีช่องทาง LINE Chatbot ซึ่งเป็นระบบการตอบคำถามโดยอัตโนมัติที่จะส่งคำตอบข้อมูลที่เป็นสาระความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อมีผู้สอบถามเข้ามาในระบบ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้มากยิ่งขึ้น

Advertisement

พล.อ.วิทวัส กล่าวอีกว่า ส่วนแนวคิดเรื่องการยกระดับมาตรฐานการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดิน จะมุ่งให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงระบบซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณชนในวงกว้างและได้แก้ไขเชิงระบบ เช่น การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางน้ำ ผลักดันให้เกิดมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมในการแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องการส่งข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รวดเร็ว และมีแนวคิดที่จะให้มีเรือกู้ชีพที่เกาะพะงัน เพื่อรองรับกรรีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส โรงพยาบาลในพื้นที่ไม่สามารถรักษาได้ก็ต้องส่งมารักษาที่เกาะสมุย รวมทั้งมีแนวคิดให้กรมเจ้าท่าติดตั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่ท่าเรือ รวมถึงจูงใจให้ผู้ประกอบการติดเครื่องดังกล่าวในเรือและอบรมให้คนประจำเรือใช้เครื่องดังกล่าวเป็น เพื่อเอาไว้ช่วยนักท่องเที่ยวทีประสบเหตุได้ทันท่วงที รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งเรื่องหน้ากากอนามันและเจลแอลกอฮอล์ขาดตลาด ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว มีสินค้าเพียงพอและขายในราคาปกติ รวมทั้งการแก้ปัญหาเรื่องการตรวจสอบสิทธิขอรับเยียวยาว 5,000 บาท ของรัฐบาล ก็มีการเสนอให้กระทรวงการคลังตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามาตรการช่วยเหลือระยะหลัง อย่างโครงการคนละครึ่งปัญหาดังกล่าวลดลง นอกจากนั้นยังมีการผลักดันยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตรกรรม ประกอบด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เป็นต้น

พล.อ.วิทวัส กล่าวอีกว่า สิ่งหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาทุกข์ของบ้านเรา คือปัญหาเรื่องการทำประมง ซึ่งกิจการประมงทำเงินเข้าประเทสมหาศาล มีประชาชนรากหญ้าจำนวนมากที่ทำประมง แต่เรากำลังจะตายเพราะกฎเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งกฎหมายนี้เป็นกฎหมายทาส เมื่อวานตนได้พบกับเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งพบว่าศูนย์กลางประมงแบบพื้นบ้านใหญ่ที่สุดของไทยอยู่ที่ จ.ปัตตานี แต่ตอนนี้เรือประมงไทยไม่สามารถออกทะเลได้ เพราะกฎ IUU ซึ่งนอกจากกลุ่มคนที่ทำประมงแล้ว ยังมีคนที่ประกอบอาชีพซ่อมเรือ ทาสีเรือ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ตายทั้งหมด จึงคิดว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะทำเรื่องนี้ โดยตนจะแสวงหาข้อเท็จจริง และมีแนวคิดว่าจะร่วมกับผู้ตรวจการแผ่นดินจากประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จัดทำข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวเสนอต่อสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทส เพื่อที่จะไปกดดดันคนที่ออกกฎนี้ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไปเสนอ เนื่องจากอาจทำให้ถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้านต่างๆ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image