ชาวเชียงรายรักสถาบันจัดชุมนุมใหญ่ ชี้ให้อดทนกับลูกหลาน เชื่อเวลาจะทำให้กลับใจ

ชาวเชียงรายรักสถาบันจัดชุมนุมใหญ่ ชี้ให้อดทนกับลูกหลาน เชื่อเวลาจะทำให้กลับใจ

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลาง จ.เชียงราย หลังแรก ถนนสิงหไคล อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ชมรมรักในหลวง จ.เชียงราย ชื่อว่า “ชาวเชียงรายรวมพลัง ปกป้องสถาบันฯ” โดยนัดหมายให้สวมใส่เสื้อเหลืองและเสื้อสีมชมพูเฉลิมพระเกียรติในการทำกิจกรรม ซึ่งพบว่าผู้ไปร่วมส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในชมรม และไม่มีชมรมกำนันผู้ใหญ่เดินทางไปร่วมแต่อย่างใด กิจกรรมมีการประกอบพิธีถวายสักการะต่อพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 และนายกนก วิศวกุล ประธานชมรมคนรักในหลวง จ.เชียงราย ได้นำร้องเพลงชาติ ก่อนเปิดให้สมาชิกหลายคนได้ปราศรัยมีเนื้อหาในการเทิดทูนสถาบันและเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระบารมีทั้งในและต่างประเทศ

ก่อนที่นายกนกจะอ่านแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาว่า ในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งมีน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ได้บังอาจจาบจ้วง ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมายชัดเจน โจ่งแจ้งและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ ทำให้ประชาชนที่จงรักภักดีไม่สามารถยอมรับและนิ่งดูดาย ดังนั้นชมรมซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จึงขอประณามและเรียกร้องให้กลุ่มคนดังกล่าวหยุดการกระทำ และเห็นด้วยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมจะนำบทบัญญัติกฎหมายทุกมาตรามาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดโดยยึดหลักนิติธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อประกอบพิธีจุดเทียนชัย ร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชา เพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วจึงแยกย้ายกันกลับ

Advertisement

นายกนก กล่าวว่าชมรมเราจัดตั้งที่ จ.เชียงราย มาได้นานประมาณ 5-6 ปีแล้ว ที่ผ่านมาแม้จะกิจกรรมรวบรวมสมาชิกได้ไม่เต็มที่แต่ก็สามารถทำได้กว่า 13,000 คน และครั้งนี้ก็พากันออกมาแสดงพลังร่วมกันได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เพราะสถาบันอยู่คู่กับคนเชียงรายมาไม่น้อยกว่า 800 ปี เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โยนกนาคพันธุ์ที่มีพระมหากษัตริย์ 46 พระองค์ และราชวงศ์ลาวจักราช จำนวน 25 พระองค์โดยองค์สุดท้ายคือพ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนที่พระองค์จะไปสร้างเมืองเชียงใหม่ รวมแล้วถึง 71 พระองค์ ต่อมาก็ถึงยุคพระเจ้าตากสินที่สามารถขับไล่พม่าออกไปและรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างเบ็ตเสร็จ กระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 10 จึงทำให้พวกเราภาคภูมิใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ดังนั้นการที่กลุ่มคนซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นรุ่นลูกหลานได้ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่จาบจ้วงล่วงละเมิด อาจเพราะได้ข้อมูลมาไม่ถูกต้อง และพวกเราจะต้องอดทนในการทำความเข้าใจ ซึ่งตนเชื่อว่าในอนาคตลูกหลานจะเข้าใจต่อสถานการณ์ที่แท้จริงต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image