“ทวี” นำ ส.ส.ประชาชาติ คารวะผู้นำศาสนา พุทธ-อิสลาม และยินดีกับนายก อบจ.3 จังหวัดใต้ที่ได้รับเลือกอีกสมัย
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และเลขาธิการพรรคประชาชาติ นำ ส.ส.พรรคประชาชาติทั้ง 6 ท่าน ประกอบด้วย นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ ส.ส.ปัตตานี เขต 4, นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา เขต 2, นายอับดุลอายี สาแม็ง ส.ส.ยะลา เขต 3, นายกูเฮง ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส เขต 3 และนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส เขต 4 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารพรรคอีกหลายท่าน เดินทางเยี่ยมผู้นำศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2564 และเยี่ยมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา
โดยจุดแรก ได้ไปกราบนมัสการพระสิริจริยาลังการ เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ที่วัดตานีนรสโมสร อ.เมือง จ.ปัตตานี พร้อมพบปะพี่น้องประชาชนในนามกลุ่มพุทธสมาคม เพื่อพูดคุยรับฟังปัญหาและให้กำลังใจ
จุดที่สอง เดินทางต่อไปคารวะ ดร.แวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยมีคณะกรรมการบริหารมาร่วมต้อนรับอย่างอบอุ่น มีการนำเสนอประวัติการก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ที่เริ่มก่อตั้งโดย โต๊ะครูฮัจญีสุหลง อับดุลกอเดร์ ต่วนมีนาล (หะยีสุหลง) ซึ่งมีสำนักงานเดิมอยู่หลังมัสยิดกลางปัตตานี กระทั่งได้ย้ายมาตั้งสำนักงานใหม่ที่มีขนาดใหญ่และความพร้อม ในยุคที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนงานการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
จุดที่สาม เข้าเยี่ยมนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ว่าที่นายก อบจ.ปัตตานี ที่โรงแรมปาร์คอินทาวน์ ปัตตานี เพื่อแสดงความยินดีหลังได้รับชัยชนะการเลือกตั้งให้เป็นผู้บริหารท้องถิ่นอีกสมัย โดยมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านในจังหวัดปัตตานีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย
จุดที่สี่ ไปกราบนมัสการพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ที่วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส พร้อมพบปะพี่น้องพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งที่มารอต้อนรับ
จุดที่ห้า ไปเยี่ยมคารวะนายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส อ.เมือง จ.นราธิวาส โดยได้หารือปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และให้กำลังใจในการทำงานเพื่อศาสนาและสังคม
จุดที่หก ไปเยี่ยมนายกูเซ็ง ยาวอหะซัน ว่าที่นายก อบจ.นราธิวาส ที่บ้านพักใน อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เพื่อแสดงความยินดีหลังได้รับชัยชนะการเลือกตั้งให้เป็นผู้บริหารท้องถิ่นอีกสมัย โดยนายกูเฮง ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส ในฐานะบุตรชาย ได้เป็นตัวแทน ส.ส.มอบกระเช้าปีใหม่ให้แก่บิดา บรรยากาศเป็นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จุดที่เจ็ด ไปกราบนมัสการพระราชปัญญามุนี เจ้าคณะจังหวัดยะลา ที่วัดเวฬุวัน อ.เมือง จ.ยะลา โดยมีอาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ รวมมนัสการด้วย และมีพี่น้องพุทธศาสนิกชนมาร่วมต้อนรับและให้กำลังใจ
จุดที่แปด คารวะนายอิสมาแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ที่บ้านศรียะลา โดยมีคณะกรรมการบริหารร่วมด้วย ซึ่งนายอิสมาแอ ฮารี ได้กล่าวชื่นชม ส.ส.พรรคประชาชาติทุกท่านที่ทำหน้าที่ผู้แทนราษฏรได้เป็นอย่างดี และขอบคุณพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ที่ยังคงมีความปรารถนาดีถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เสมอมา
และจุดสุดท้าย พบกับตัวแทนนายมุขตาร์ มะทา ว่าที่นายก อบจ.ยะลา ที่ได้รับเลือกตั้งให้ทำหน้าที่บริหารท้องถิ่นอีกสมัย
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวว่า การเดินทางมาเยี่ยมผู้นำศาสนาและนายก อบจ.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมาให้กำลังใจในการฝ่าอุปสรรคจากวิกฤติโควิด-19 ซึ่งจังหวัดชายแดนภาคใต้มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย มีพี่น้องทำงานในประเทศมาเลเซียจำนวนมาก วิกฤตโควิด-19 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนระบบวิถีชีวิต ซึ่งเราจะทำอย่างไรแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตและให้ประชาชนช่วยตัวเองในด้านอาชีพบนฐานทรัพยากรที่สมบูรณ์ภายในประเทศ การบริหารและการปกครองต้องให้ผู้ผู้นำท้องถิ่น และผู้นำศาสนา ได้มีอำนาจและงบประมาณทำหน้าที่ดูแลประชาชน เชื่อว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะต้องปฏิรูปทุกภาคส่วนเลิกระบบรวมศูนย์ เพราะส่วนกลางอาจไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทัน องค์กรท้องถิ่นทราบปัญหาและความต้องการจะสามารถช่วยได้ดีกว่า
ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเรื่องคุณภาพชีวิตคนไทยทั้งประเทศได้รับความเดือดร้อนมากจากการช่วยเหลือของรัฐบาลไม่เสมอภาคทั่วถึง ตอนนี้รัฐบาลเข้าใจว่าต้องทำเองทุกอย่างมุ่งในเรื่องสงเคราะห์ รัฐบาลต้องเปลี่ยนระบบการบริหาร ควรที่จะกระจายอำนาจ ความล้มเหลวของรัฐบาลก็คือ เอางบประมาณไปให้กระทรวงทบวงกรม ซึ่งเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ให้เอามาใชีพื้นที่ให้ผ่านท้องถิ่น ชุมชน และประชาชนโดยตรง การบูรณาการที่ผ่านมาล้มเหลวที่สุด คือบูรณาการโดยจัดตั้งกระทรวงทบวงกรม องค์กรขึ้นมาใหม่ เป็นรัฐรวมศูนย์ แล้วประเคนงบประมาณไปให้ สุดท้ายก็ไม่มาถึงชาวบ้าน แทนที่จะช่วยได้ทันที แต่กลายเป็นช่องทางการหาผลประโยชน์ของระบบราชการ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นรากเหง้าของปัญหา ทั้งที่ประชาชนต้องมีอาชีพมีการทำมาหากิน มีรายได้สินค้าเกษตรสามารถผลิตและขายได้ ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุขการ ประเทศอาจจะต้องเปลี่ยนระบบการบริหารนั่นคือการไม่กระจายอำนาจ ไม่กระจายงบประมาณ ไม่กระจายให้ประชาชนได้กำหนดวิถีชีวิตของตัวเอง