เพนกวิน- เบญจา จัดกิจกรรมกระชากหน้ากาก ทิ้ง 2 คำถามปมวัคซีน หน้าที่ทำการไบโอไซเอนซ์

‘เพนกวิน- เบญจา’ จัดกิจกรรม กระชากหน้ากาก – ทิ้ง 2 คำถาม ปมเงื่อนงำ ‘วัคซีน’ หน้าที่ทำการ ‘ไบโอไซเอนซ์’

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 มกราคม ที่ หน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ (ที่ทำการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์) ถนนพระรามที่ 1 กรุงเทพฯ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และ น.ส.เบนจา อะปัญ หนึ่งในสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรม กระชากหน้ากากไบโอไซเอนซ์

นายพริษฐ์กล่าวว่า ที่นี่มีออฟฟิศของ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เกี่ยวกับการผลิตวัคซีนที่เราต้องเอาความจริงมาเปิดเผย เรื่องวัคซีนซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในออนไลน์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และเกี่ยวข้องกับประชาชน ความวิปริตของบริษัทนี้ หากเป็นเวลาปกติก็คงได้จัดเวทีปราศรัยเพื่อเอาความจริงออกมาให้พี่น้องประชาชนทราบไปแล้ว แต่สถานการณ์เช่นนี้ จะจัดเวทีปราศรัยก็คงไม่เหมาะ

ดังนั้น เราสองคน เพนกวิน และเบญจา จากแนวร่วม มธ. ขออาสาเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนที่มีข้อสงสัยต่อสถานการณ์การแจกวัคซีน นำคำถามมาถามถึงหน้าตึกนี้ ที่ทำการของสยามไบโอไซน์

ทั้งนี้ ระหว่างนายพริษฐ์ทำกิจกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศข้อกำหนด ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดย นายพริษฐ์กล่าวว่า ทางเราประชาชนมาพูดแค่ 2 คน โควิดจะระบาดอะไร พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำเป็นสำหรับการควบคุมโรคระบาด หรือจำเป็นสำหรับควบคุมพี่น้องประชาชน ตำรวจต้องตอบคำถามให้ชัดเจน เรามาเพียงสองคนไม่ได้นัดมวลชนมา อยากจะถามว่าการเอา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอ่านกฎหมายให้เราฟังนัั้น อยากทราบว่า เป็นไปเพื่อควบคุมโรค หรือเพื่อควบคุมเรา

Advertisement

ที่ผ่านมา นับตังแต่ที่มีม็อบ อยากถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ละอายใจ หรืออึดอัดใจบ้างหรือไม่ ที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หลักของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่อนก็ไม่จับ ยาเคก็ปล่อย มาไล่จับ ไล่แต่คุกคามเรา ขอบคุณครับ แต่ไม่ยอมรับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมาย

“เรามาที่หน้าตึกนี้ เหตุเพราะว่า ตึกนี้คือรังของเครือข่ายทุนผูกขาด ที่สร้างผลกรทบต่อคนไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรามาแค่ 2 คน แต่ตำรวจซึ่งเข้าใจว่าข้างในตึกจะมีควบคุมฝูงชน (คฝ.) ด้วย จึงอยากป่าวประกาศว่า สิ่งที่เราเอามาพูดวันนี้ เป็นความจริงทั้งสิน ตำรวจก็คือประชาชนด้วยกัน ควรมาฟังด้วย คฝ. ออกมายืนเรียงแถวตรงนี้เลย ผมจะพูดความจริงให้ฟัง” นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในวันนี้สร้างความเสียหายอย่างไม่จำกัดวง มีประชาชนมากมายมหาศาล ต้องเจ็บ ล้มตาย จากไวรัสนี้ ที่น่ากังวลกว่านั้น ยังมีอีกกี่คนที่ต้องตายจากพิษเศรษฐกิจ มาตรการหลายอย่างของรัฐบาลที่ออกมา ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ต้องไปแย่ง “คนละครึ่ง” อย่างกับมาตรการชิงเปรต

Advertisement

ทางออกทางเดียวคือวัคซีน เพราะวัคซีนนี้ ยิ่งเราแจกได้มาก และแจกได้เร็วเพียงใด นั่นเท่ากับว่า คนในประเทจะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นเท่านั้น แสดงว่าเราไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ เพราะระหว่างที่ปิดประเทศนี้ เศรษฐกิจเสียหาย โดยเฉพาะภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทุกวันนี้ ถนนข้าวสาร กลายเป็นเมืองซอมบี้ พัทยากลายเป็นเมืองร้าง และอีกหลายที่ที่กำลังจะตามไป เราจะปล่อยไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้น วัคซีนจึงเป็นทางออกสำหรับประเทศไทย

เฉพาะบ้านใกล้เรือนเคียง รับมือกับสถานการณ์โรคระบาด จัดหาวัคซีนให้ประชาชนของเขาได้อย่างไรบ้าง ประการปแรก 1. มาเลเซีย เขาสามารถหาวัคซีนมาให้ประชาชนได้ 71 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ, ใต้หวัน 42 เปอร์เซ็นต์, ของประเทศ ฟิลิปปินส์ 41.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องเรียนให้พี่น้องทราบถึงข้อมูลว่า 3 ประเทศที่กล่าวมานั้น เขาแจกวัคซีนให้คนในประเทศจำนวนมาก โดยที่เขาใช้วัคซีน 4 ชนิด จาก 4 แห่ง (บริษัท) ไม่ซ้ำกัน ทำไมเขาถึงซื้อจาก 4 บริษัท นั้นเป็นเพราะ เขาไม่อยากวางความเสี่ยงให้กับบริษัทใด เพราะคือเรื่องใหม่ เป็นประดิษฐ์กรรมที่คิดมาใหม่ ไม่มีใครที่จะรู้ได้ชัดเจนกับตัวเอง ว่าวัคซีนไหนจะใช้ได้ดีที่สุด จึงต้องกระจายความเสี่ยง แต่ตัดภาพมาที่ประเทศไทย แผนล่าสุดของรัฐบาลไทย จะแจกวัคซีนให้ประชาชน เพียง 21.5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ ไม่เกิน 20 ล้านคน เพียงเท่านั้น นับว่าน้อยมาก จนไม่สามารถสกัดโรคได้อย่างแท้จริง ไม่เพียงเท่านั้น วัคซีนที่รัฐบาลเตรียมนำมาแจก ซื้อมาเพียงแค่ 2 แห่ง คือ ซิโนแวค และ แอสตรา

“ไทยมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงใช้เพียงจาก 2 บริษัทนั้น ปัจจุบันหลายชาติชะลอการสั่งจาก ซิโนแวค เพราะจีน มักบิดเบือนข่าว จะรู้ได้อย่างไรว่ารายงานนั้นเป็นความจริง หรือวัคซีนใช้ได้จริง วัคซีนนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ หลายประเทศชะลอ หรือยกเลิกการส่งซื้อไปแล้ว ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า เหตุเดียวที่รัฐบาลชุดนี้ยังคงยืนยันซื้อวันซีน จาก ซิโนแวค เพราะเป็นบริษัทของกลุ่มทุนผูกขาดที่สนับสนุนตัวเองใช่หรือไม่

คำถามที่ 2 ช็อตต่อไป วัคซีนแอสตราเซนเนก้า ซึ่งวิจัยโดยอังกฤษ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ข้อนี้ไม่ติด แต่ติดว่า เพราะเหตุใด จึงต้องเป็น บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่มาดูแลการผลิตวัคซีนนี้

บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ก่อตั้งมานานนับ 10 ปี มีแต่คำว่าขาดทุน ไม่เคยมีวัคซีนชุดใดผลิตโดยบริษัทนี้ เหมือเอามือใหม่มาหัดขับเครื่องบิน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องบินจะไม่ตก อาจจะต้องบอกว่า ขาดประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือ แม้แต่องค์การเภสัชกรรม และเภสัชโลก ก็ตั้งคำถาม ในการผลิตวัคซีนให้อาเซียน ถามว่า สยามไบโอไซเอนซ์ มารับเรื่องนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้มีเงื่อนงำ” นายพริษฐ์กล่าว และว่า

“ถามไปถึง รัฐมนตรี อนุทิน (ชาญวีรกูล) ด้วย ที่เคยออกมาแถลงว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เข้ามาทำวัคซีนตามกระบวนการปกติ ปกติคือการเอาบริษัทปูนไปเป็นนายหน้าล็อบบี้ ให้กับสยามไบโอไซเอนซ์ ใช่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเอกชน เรียกว่า ฮั้วประมูล มีความผิดตามกฎหมาย มาตราฐานของสังคมนี้อยู่ที่ใด

วัคซีนที่ว่านี้ งบประมาณก็มาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น เหมือนจะฟรี แต่ไม่ฟรี ต้องซื้อ และค่าจัดการวัคซีน ครึ่งหนึ่งของราคาวัคซีน ขอถามว่า จัดการ หรือจัดโกง ไม่ได้แจกฟรี แต่มาบังคับซื้อ แถมต้องรออีกถึง 6 เดือน ไม่ต้องไปไกลมาก ดูแค่เดือนเดียว พี่น้องที่ทำการท่องเที่ยวทราบดี ว่าธุรกิจการท่องเที่ยวกำลังจะตายจากระลอกแรก หวังว่าปีใหม่จะได้ฟื้น ซึ่งยังมีโควิดรอบ 2 ไม่พอ เรื่องวัคซีนมาซ้ำเติมอีก รัฐบาลไม่เคยประกาศประมูลจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่มีการเปิดเผยกระบวนการว่าจะมีวัคซีนผมไม่รู้เลยว่า ต้องมีคนอดตายอีกมากเท่าไหร่ ถ้าไม่มีกระบวนการผูดขาดนี้ คงแจกจ่ายไปได้ทั่วประเทศแล้ว ถ้าคิดจะกั๊กวัคซีน ยินดีด้วย คุณได้ซีนนะ แต่ซีนคุณแย่มาก นี่หรือคือสิ่งที่รัฐบาลตอบแทนให้กับเรา

สรุปคือ นี่คือผลจากการที่รัฐบาลไม่มีประชาชนในหัวใจ คิดเพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ แต่ขอโทษด้วยนะ วันนี้คนไทยตื่นรู้กันหมดแล้ว และจะไม่มีวันหลับตาอีกต่อไป” นายพริษฐ์กล่าว

จากนั้น เวลา 14.19 น. นายพริษฐ์ และ น.ส.เบญจา ทำการชูป้ายข้อความที่เตรียมมา เพื่อเตือนความจำ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ว่าประชาชนคิดเห็นอย่างไร โดยมีตัวแทนบริษัท ออกมารับป้ายดังกล่าว

นายพริษฐ์กล่าวอีกว่า อยากถามถึงรัฐบาล ว่า 1.ทำไมไม่มีปัญญาซื้อวัคซีนแจกประชาชน ทำไมวัคซีนจึงมาจากบริษัทเดียว 2.เรื่องนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ทำไม่ไม่กระจายความเสี่ยง ไม่มีการประมูล เรื่องนี้รัฐบาลต้องตอบ และอยากให้เปิดเอกสารการทำสัญญาด้วย

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการเคลื่อนไหวของแนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม ว่าจะเน้นเคบื่อนไหวเรื่องวัคซีน ใช่ไหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า เพราะวัคซีนคือเรื่องสำคัญของประเทศ เราจึงต้องให้ความสำคัญ ดังนั้น เราคงต้องตามติดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ

ด้าน น.ส.เบญจากล่าวว่า เราไม่อยากให้เรื่องวัคซีนหายไปจากสังคม เพราะคือเรื่องความอยู่รอด และเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งจะดีขึ้นได้ ต้องมีการจับจ่าย กล่าวคือ ต้องเปิดประเทศ สภาพแบบนี้คงยากที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว ดังนั้น เรื่องโควิดต้องจัดการ ให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ประชาชนจะได้ไม่อดตาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image