‘ดุลยภาค’ ชี้ปม ‘รัฐประหารเมียนมา’ สาเหตุเกิดจาก ‘ทหาร’ ต้องการตัดวงจรประชาธิปไตย

อาจารย์ธรรมศาสตร์ ระบุ ต้นเหตุรัฐประหารเกิดจากความนิยมของทหารลดลง กองทัพจำเป็นต้องตัดวงจรประชาธิปไตย หวั่นกระทบ “กระบวนการสันติภาพ” แนวตะเข็บชายแดน การค้า-สัญญา กับเอกชนไทย

ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองคณบดีฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และการเมืองการปกครองของเมียนมา เปิดเผยว่า เหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสะสม กล่าวคือเมียนมามีการปกครองด้วยระบอบทหารมายาวนาน ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยแต่ก็ยังควบคุมโดยกองทัพ เพียงแต่ในระยะหลังๆ ฝั่งพลเรือนมีอำนาจมากขึ้น จนกองทัพเริ่มไม่สามารถควบคุมภูมิทัศน์การเมืองได้ถนัดมือนัก 2. ปัจจัยกระตุ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากประชาชน จนทำให้พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USPD) ที่หนุนโดยกองทัพไม่สามารถสู้ได้ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา นั่นทำให้กองทัพจำเป็นต้องตัดวงจรไม่ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยสามารถสยายปีกได้ต่อไป ด้วยการสร้างรัฐทหารชั่วคราว จับกุมผู้นำ และประกาศสภาวะฉุกเฉิน

“การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยนั้นก็ถูกเปลี่ยนโดยชนชั้นนำทหาร เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบได้ในเร็วพลัน สิ่งที่รัฐบาลทหารต้องการคือการมีประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2551 ของเมียนมาก็ยังมีตัวแทนจากกองทัพซึ่งก็เป็นกลุ่มที่มีอภิสิทธิ์เข้าไปถ่วงดุลกับรัฐบาลพลเรือน” ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว

ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวต่อว่า ฝ่ายกองทัพระบุถึงเหตุผลในการทำรัฐประหารครั้งนี้ว่าการเลือกตั้งที่จัดตั้งภายใต้รัฐบาล NLD มีความไม่ชอบมาพากล ไม่โปร่งใส เกิดสถานการณ์การสู้รบ รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้บางพื้นที่ไม่สามาถจัดการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าเป็นเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักมากถึงขนาดต้องทำการรัฐประหาร

ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งในการทำรัฐประหารครั้งนี้ คือกองทัพทหารเมียนมาพยายามทำให้รูปแบบการรัฐประหารอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยยกมาตรา 417 ในรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยกองทัพ ระบุว่า ประธานาธิบดีสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และสามารถถ่ายโอนอำนาจให้กับกองทัพได้ ส่งผลให้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ถูกแทนที่โดยโครงสร้างของกองทัพซึ่งก็ไม่ได้ขัดตามหลักกฎหมาย

Advertisement

“ผมตั้งข้อสังเกตได้ว่าในมาตรา 417 ได้พูดถึงการประกาศสภาวะฉุกเฉินว่าต้องเกิดอันตรายต่ออธิปไตยแห่งรัฐ เช่น มีการรุกรานจากกองกำลังต่างชาติ เกิดสงครามกลางเมือง หรือมีเหตุการณ์รุนแรง แต่ที่ผ่านมาในประเทศเมียนมาก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น กระนั้น” ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว

ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวอีกว่า ในเรื่องของความรุนแรงของสถานการณ์นั้น เนื่องจากเริ่มมีกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินถอยหลัง ส่วนตัวมองว่าฝ่ายที่ยึดอำนาจในครั้งนี้เตรียมการณ์รับมือไว้แล้วว่าจะต้องถูกกดดันจากนานาชาติ และมีการเคลื่อนขบวนของประชาชน ซึ่งกองทัพเมียนมาเองมีความช่ำชองในการตั้งรับการประท้วง และรู้จักยุทธ์ศาสตร์ในเมืองเนปิดอว์ซึ่งเป็นจุดที่มีการยึดอำนาจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะออกมาประท้วง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปแบบของถนนขนาดใหญ่ และสถานที่ราชการที่ตั้งห่างกันพอสมควร ภูมิทัศน์เหล่านั้นค่อนข้างเอื้อให้กับกลุ่มกองทัพมากกว่า ในการส่งรถถังไปในภูมิทัศน์ที่กว้างกว่าเพื่อล้อมกรอบประชาชน

Photo : REUTERS

นักวิชาการรายนี้ กล่าวถึงผลกระทบจากการทำรัฐประหารต่อประเทศไทยว่า ส่วนตัวมองถึงเรื่องของกระบวนการสันติภาพ กับกระบวนการติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งก็มีไม่น้อยตามตะเข็บชายแดนไทย – เมียนมา การรัฐประหารอาจทำให้กระบวนการเหล่านี้สะดุดลงเนื่องจากกองทัพเข้ามายึดอำนาจ แต่ก็มีเรื่องของการปิด-เปิดด่านการค้าชายแดน ซึ่งมีผลต่อการขนส่งสินค้าและบริการ นอกจากกนี้อาจจะต้องดูถึงสัญญาต่างๆ ที่ภาคธุรกิจและเอกชนไทยเข้าไปติดต่อ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลแบบฉับพลันซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง

Advertisement

สำหรับโรคระบาดโควิด-19 ทางกองทัพไทยก็ได้มีการตรึงกำลังมากขึ้นเพื่อป้องการหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งผู้ติดเชื้อในเมียนมาก็มีตัวเลขที่ค่อนข้างสูง รวมไปถึงผู้ลี้ภัย นักกิจกรรมทางการเมืองที่อาจจะลอบเข้ามาได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีรายงานเป็นที่แน่ชัด ในอนาคตด็ต้องจับตาดูว่าสถานณ์ว่าจะเป็นอย่างไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image