อคส.ลุย ‘พัฒนาองค์กร’ พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสปราบคอร์รัปชั่น

อคส.ลุย ‘พัฒนาองค์กร’ พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสปราบคอร์รัปชั่น ตามแนวชี้แจงอภิปรายของ ‘จุรินทร์’

นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า หรือ อคส.คนใหม่ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ข่าวนายสุทธินันท์ จิยะอมรเดช นักบริหาร 9 องค์การคลังสินค้า เจ้าของแชตที่แคปบทความสนทนาโผล่ในการอภิปรายของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา ได้ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่าถูกตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงไม่เป็นธรรมนั้น พฤติการณ์ตอบด้วยตัวเองอยู่แล้ว

เรื่องนี้เป็นระเบียบปฏิบัติของทุกหน่วยงาน เมื่อมีเหตุเกี่ยวกับวินัยก็ต้องมีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงหากผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็สามารถโต้แย้งคัดค้านคำสั่งตามระเบียบข้อบังคับ ที่เป็นกลไกให้ความเป็นธรรมขององค์การได้ไม่ใช่ออกไปร้องทุกข์ต่อบุคคลอื่น อย่างไรก็ตาม บุคคลซึ่งถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นตัวละครหนึ่งในฐานะกรรมการที่นำเงินไปลงทุน และเห็นชอบอนุมัติให้ถอนเงินฝากประจำของ อคส.2,000 ล้านบาท เพื่อเร่งรัดจ่ายให้กับเอกชนให้ทันเวลาซึ่งเป็นเงื่อนไขของเอกชนจุดนี้จึงเป็นพิรุธอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว หากไม่อนุมัติในครั้งนั้น อคส.ก็ไม่ต้องเสียหายอย่างที่ทราบกัน แต่กลับมาเคลื่อนไหวให้เป็นข่าวในช่วงนี้เพื่อร่วมมือกับฝ่ายใดในลักษณะหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้พฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความเสียหายต่อองค์กรและไม่เป็นที่ไว้วางใจ

“เป็นเรื่องที่แปลกอย่างมากทั้งที่ผมในฐานะผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าคนใหม่เข้ามาแก้ไขพยายามตามเงิน 2,000 ล้านบาทคืน ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.สามารถอายัดเงินในบัญชีไว้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว การดำเนินการก็ต้องรอบคอบและรัดกุมตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ขององค์กร แต่กลับมีการสร้างแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกตลอดเวลา มีแต่ความร่วมมือของหน่วยงานจากองค์กรอิสระทั้ง ดีเอสไอ ปปง. ป.ป.ช. ที่ทำงานร่วมกันอย่างหนักจนสามารถอายัดบัญชีได้ภายใน 50 วันนับจากวันที่ตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 10 กันยายน 2563 และตามแนวทางที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงการอภิปรายคือแน่นอนว่า เมื่อมีหลักฐานก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด ไม่เพียงเรื่องนี้แต่รวมถึงการสะสางคดีจำนำข้าวด้วย ซึ่งการที่ตนเข้ามาก็พบความพยายามขัดขวาง ข่มขู่ ใส่ร้ายจากหลายคนในองค์กรแทนที่จะร่วมมือกัน” นายเกรียงศักดิ์กล่าว

Advertisement

นายเกรียงศักดิ์ ระบุด้วยว่า หลังจากนี้ก็ปรารถนาว่า เมื่อทุกฝ่ายทราบเป้าหมายร่วมกันว่าจะต้องทำงานทั้งพัฒนาองค์กร พัฒนาสายธุรกิจเพื่อรายได้ขององค์กร และติดตามสะสางคดีเก่า เพื่อนำเงินขององค์กรกลับคืนมามีพันธกิจร่วมกันเช่นนี้แล้วก็ต้องเดินหน้าแสวงหาความร่วมมือด้านที่ดีตามเป้าหมาย ไม่ใช่ต่างรักษาผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่ตนแล้วเสียหายต่อส่วนรวม ส่วนความคืบหน้าการสืบสวนทางวินัย ผช.ผอ.ประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะได้แถลงความคืบหน้าและขั้นตอนกระบวนการตามระเบียบให้ทราบในสัปดาห์หน้า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image