จตุพร กระตุกปชป. อย่าลืมสัญญาแก้รธน. ถ้ารอบนี้ถูกคว่ำ ต้องผนึกกำลังคว่ำรบ.ด้วย

“จตุพร” ปลุกทุกฝ่ายควรเก็บขัดแย้งไว้ชั่วคราว ชวนผนึกกำลังต่อสู้ ประกาศเสียง ปชช. “คว่ำ รธน. คว่ำ รบ.” กระตุกปชป. อย่าลืมสัจวาจา เชื่อตั้งสสร.ถูกคว่ำแน่ จับตาท่าทีพรรคร่วม หน้าด้านจบอนาคตกับ คสช.-พปชร.หรือไม่ 

เมื่อ 5 มีนาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ว่า แม้ผู้ที่ต้องการคว่ำแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งโดยเชิงได้เปรียบทางการเมืองในขณะนี้ แต่ในความได้เปรียบนั้น ต้องยึดสัจวาจาโดย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ได้เตือนสติไว้ว่า หลังจากพูดออกมาแล้ว คำพูดจะเป็นนายของตัวเอง ดังนั้นการแถลงนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า จะแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นคำพูดที่เป็นนายและรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลต้องปฏิบัติตามสัจวาจาที่ได้เปล่งพูดออกมา อย่างไรก็ตาม ทุกคนรับรู้ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ฉบับปราบโกง แต่เป็นฉบับสืบทอดอำนาจแยบยล แบบด้านได้ อายอด โดยเฉพาะคำถามพ่วงให้ส.ว.โหวตตั้งนายกรัฐมนตรีได้ แล้วส.ว. 249 คนจาก 250 คนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มี ส.ว.แตกแถว สะท้อนถึงได้ทำตาม พล.อ.ประยุทธ์ ผู้แต่งตั้งมา

อีกทั้ง เนื้อหาการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 จะผ่านหรือไม่ หลักสำคัญอยู่ที่ต้องได้เสียงส.ว. 84 คน รวมถึง ศาลรัฐธรรมนูญล้วนมาจากการคัดเลือกสรรหาของสนช.ที่พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งเช่นเดียวกัน ดังนั้น การให้พยาน 4 ปากประกอบด้วย นายมีชัย ฤชุพันธุ์, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายอุดม รัฐอมฤต และนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ยื่นแสดงความเห็นนั้น เท่ากับสะท้อนว่า การแก้รัฐธรรมนูญ โดยมี ส.ส.ร.แทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ คงไม่ยอมให้ตั้งส.ส.ร.มาแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อปล่อยให รัฐธรรมนูญได้สืบทอดอำนาจไปบรรลุคำตอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้น ในวันที่ 11 มีนาคม ตนจึงเชื่อว่า แก้รัฐธรรมนูญโดยตั้ง ส.ส.ร.คงไม่ได้ เพราะคาดว่าจะถูกตีความไปตามคำร้องเป็นการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งที่เจตนารมณ์ของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้ตั้งส.ส.ร. ไม่ได้มีความหมายให้แก้ไขทั้งฉบับ แต่เว้นหมวด 1 และ 2 ถึงที่สุดแล้วเมื่อตั้ง ส.ส.ร.ไม่ได้ จึงเสนอทางออก โดยแนะนำให้ไปแก้เป็นรายมาตราเช่นดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า มติรัฐสภาให้ยื่นศาล รัฐธรรมนูญตีความมาจากเสียงสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ ส.ว. ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการคว่ำแก้รัฐธรรมนูญ ย่อมเกิดขึ้นทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือเสียง ส.ว.โหวตวาระ 3 ไม่ถึง 84 เสียง หรือเป็นทั้งสองทางในคราวเดียวกัน ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น อีกอย่าง ตนส่งสัญญาณเรื่องนี้ เพื่อต้องการสื่อว่า การคว่ำแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 นั้น คว่ำได้อยู่แล้ว แต่จะทำให้รัฐบาลพัง เพราะท้ายที่สุดบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังมีอนาคตทางการเมืองอีกยาวไกล ถามว่า เขาจะมาตายกับพฤติกรรมของ ส.ว.และอดีตคสช. พร้อมทั้ง พปชร.ด้วยหรือ? ดังนั้น เรือจะล่มจากคนในเรือ ซึ่งไม่มีทางเป็นอย่างอื่นเลย
“ถ้าแก้รัฐธรรมนูญถูกคว่ำแล้ว ถามว่า ปชป.จะหน้าด้านอยู่ต่อไปหรือไม่ เพราะการเล่นละครแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อร่วมรัฐบาล คือการหลอกลวง คือการโกหกระดับโลก เดินมาใกล้ถึงที่สุดแล้ว และผมไม่เชื่อว่าการแก้ รัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดพลิกเปลี่ยนแบบฉับพลันได้ แต่ท่ามกลางประเทศอยู่แบบสิ้นหวัง ผมจึงเห็นว่า การแก้ รธน.จะเอื้อต่อการแก้ปัญหาวิกฤตชาติอย่างเป็นจริง อีกทั้งผมเคยพูดในสิ่งที่เชื่อว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เขียนไว้เพื่อถูกฉีก เพราะแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ลงท้ายจะถูกฉีกเช่นกัน” นายจตุพร กล่าว และว่า
นายจตุพร กล่าวว่า ในเดือนมีนาคมจะมีเกิดเรื่องราวมากมาย จะเป็นเดือนการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการแข่งขันเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราชระหว่าง ปชป.กับ พปชร.รุนแรงมาก แทบมองหน้ากันยากลำบาก ต่อเนื่องถึงการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ จะทำให้ปชป.อยู่ร่วมรัฐบาลได้ยาก แม้จะอ้างศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้แก้ไขก็ตาม แต่คนจะไม่ยอม หากจะอยู่ต้องหน้าด้านกันจริงๆ สิ่งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยน และสะท้อนถึงอาการเรือจะรั่วจากภายใน เพราะ ปชป.ยังมีอนาคตอยู่ ดังนั้น ตนจึงชวนไว้ล่วงหน้าว่า ขอวางเรื่องตัวเองในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราได้วิพากษ์วิจารณ์ ด่าทออย่างรุนแรงมาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ถ้าบ้านเมืองมาถึงจุดอับและไม่มีการปราบโกงกันจริง มีแต่สืบทอดอำนาจ หลอกประชาชนจะแก้รัฐธรรมนูญ แล้วเราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้หรือ
นายจตุพร กล่าวว่า ตนชวนให้เห็นกับประเทศชาติกันสักครั้ง มาร่วมสามัคคีต้องสู้ แน่นอนแม้ความขุ่นข้องหมองใจกันเปลี่ยนไม่ได้ ความเชื่อเปลี่ยนไม่ได้ แต่สถานการณ์เฉพาะคือชาติบ้านเมืองนั้น แต่ละฝ่ายควรคิดอ่านกันว่า ท้ายที่สุดเราจะเดินกันต่อไปอย่างไร หรือปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพแบบนี้ เพราะเราขัดแย้งกัน เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าของบ้านเมืองเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องการความขัดแย้งโดยผู้ปกครองยังอยู่ลอยนวล เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าเห็นแก่บ้านเมืองอีกครั้ง เพราะเราคือคนไทย ตนจึงชวนมาเดินหาอนาคตโดยการปฏิบัติตามกฎหมายแล้วส่งเสียงดังๆถึงทุกฝ่ายในเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ว่า ถ้ามีการคว่ำแก้รัฐธรรมนูญเราก็จะคว่ำรัฐบาล ซึ่งประเทศเดินมาถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“อีกอย่าง วันนี้แต่ละฝ่าย เดินมาถึงบั้นปลายชีวิต จึงควรมองถึงปัญหาประเทศชาติเป็นหลัก เราต้องคิดอ่านกัน เราจะส่งเสียงดังๆ ว่าจะปล่อยให้ประเทศอยู่กันแบบนี้หรือ เพราะถ้าไม่ร่วมมือกันทุกฝ่าย เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายของประเทศนี้ได้ วามจริงเราด่าทอ วิพากษ์วิจารณ์กันยาวนาน นั่นเป็นต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ และวันนี้น้องๆ นักศึกษา เยาวชนก็เสนอความคิดว่า เมื่อก่อนจะเป็นอะไรก็ตาม แต่วันนี้ถ้าทนต่อความอยุติธรรมไม่ได้ ต้องเสียสละออกมาต่อสู้ อีกอย่างประเทศมาถึงจุดต่ำสุด แต่ผู้ปกครองไม่รู้จักการเสียสละให้ชาติบ้านเมืองเลย คิดแต่อำนาจยิ่งใหญ่ที่ใครมาสู้ไม่ได้ ดังนั้น ถ้ามองว่า ประเทศเป็นของเราทุกคน เชื่อว่า จากนี้ไปจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” นายจตุพร กล่าว
ส่วนการเคลื่อนไหวในวันที่ 6 มีนาคมนั้น นายจตุพร กล่าวว่า น่าห่วงใย เพราะการชุมนุมไม่มีแกนนำจัดการ จะมีเรื่องได้ง่าย ปัญหาคือ เราไม่ควรเดินไปหาความตาย แต่ควรเดินไปหาความยุติธรรม ความเป็นจริงที่สังคมรับได้ ดังนั้น การชุมนุม 6 มีนาคมนี้ ไม่ควรมีใครต้องบาดเจ็บล้มตาย จึงขอให้รัฐในฐานะผู้ปกครองต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการปะทะ ถ้าไม่มีการขัดขวางก็ไม่มีการปะทะ และไม่เกิดเรื่องรุนแรงขึ้น ขอให้กลไกรัฐอย่าแข่งขันกับพม่าในการปราบปรามประชาชน ขอให้การชุมนุมได้แสดงออกด้วยความปลอดภัย รัฐอย่าได้เร่งให้เกิดโรคแทรกขึ้นเพื่อนำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง ถึงที่สุด ตนเชื่อว่า สถานการณ์ข้างหน้า ในเดือนมีนาคมจะเห็นอะไรที่รวดเร็ว โดยเฉพาะปัญหาที่มาจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีรอยร้าวมาก รอวันแตกสลาย ถ้ารัฐบาลคิดแต่ว่า รัฐธรรมนูญคือความได้เปรียบแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งมองรัฐธรรมนูญจะเป็นจุดกระแทกใจประชาชนอย่างรุนแรง ซึ่งจะเป็นสายป่านสุดท้ายระหว่างรัฐบาลกับประชาชน

“ขอเชิญชวนประชาชนจับมือต่อสู้เพื่อเอาชาติให้รอด ส่วนความขัดแย้งส่วนตัวควรเก็บพักไว้ก่อน โดยมาร่วมมือกันเฉพาะหน้าก่อน เพราะนั้นจะเป็นวันประชาชนประกาศชัย”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image