‘หญิงหน่อย’  จี้ รบ. ปรับแผนสร้างภูมิคุ้ม ปชช. ด่วน หลังยอดรายวันทะลุ 1,500 ราย

“หญิงหน่อย”  จี้ รบ. ปรับแผนสร้างภูมิคุ้ม ปชช.ด่วน หลังยอดรายวันทะลุ 1,500 ราย “แนะ” เช่า รร.ว่างเป็นสถานที่กักตัว

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แกนนำกลุ่ทไทยสร้างไทย กล่าวว่า ขณะที่ผู้นำประเทศทั่วโลก กำลังเร่งทำงานแข่งกับเวลา เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศของเขาให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด ให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อจะหยุดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เปิดประเทศได้ และฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด เพราะผู้นำแต่ละประเทศมองเห็นตรงกันว่า วัคซีนไม่ใช่เพียง เครื่องมือหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเท่านั้น แต่วัคซีนจะช่วยปั๊มหัวใจของเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลกจึงขวนขวายทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้กับประชาชนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป รวมทั้งในเอเชีย

“หันกลับมาดูที่ประเทศไทย ผู้นำของเราเข้าใจปัญหา และเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาวัคซีนให้กับคนไทยหรือไม่ รวมทั้งได้พยายาม และเอาจริงเอาจังกับการจัดหาวัคซีน ให้ได้เร็ว และมากพอหรือไม่” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ในฐานะที่เคยรับผิดชอบบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่อย่างซาร์สและไข้หวัดนก จึงมีข้อห่วงใยต่อการรับมือกับปัญหา COVID ของรัฐบาล

Advertisement

โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องของการจัดหาวัคซีน ที่ช้า ไม่เพียงพอ และมีตัวเลือกเพียง 2 ชนิด เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องปรับแผนการจัดการวัคซีนใหม่ ต้องเร่งฉีดให้กับคนไทยอย่างน้อย 70% หรือ 50 ล้านคนให้จบภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสามารถเปิดประเทศ เปิดการค้าขายได้ในสิ้นปีนี้ให้ทันกับประเทศอื่นๆที่เขามีแผนงานการฉีดวัคซีน และกำหนดการเปิดประเทศที่ชัดเจนกันแล้ว

“ดิฉันขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ อย่างจริงจังในประเด็นต่อไปนี้ 1.เร่งเจรจาจัดหาซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตเจ้าอื่นๆเพิ่มเติมอีก 40ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เราต้องฉีดให้ประชาชนอย่างน้อย 50 ล้านคน และให้จัดซื้อจากผู้ผลิตหลากหลาย เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกมากกว่า 2 เจ้า ที่รัฐบาลสั่งซื้อไปแล้ว และมีปัญหาทั้งเรื่องประสิทธิภาพและผลข้างเคียงทั้ง 2 เจ้า 2.เร่งวางแผนการฉีดให้ประชาชนให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าในปัจจุบันที่เรามีอัตราการฉีดต่อวันน้อยมาก เราได้วัคซีนล๊อตแรก ตั้งแต่ 28 ก.พ.จำนวน 945,000 โดส ถึงวันนี้ผ่านไป 40 กว่าวัน เพิ่งฉีดได้แค่ 300,000 กว่าโดส หรือแค่ 1 ใน 3 ของวัคซีนที่เข้ามา เฉลี่ยฉีดได้เพียง 7,500 โดส/วัน (แต่รัฐบาลบอกว่าฉีดได้ 20,000 โดส/วัน) จนทำให้คนไทยได้รับวัคซีนช้าเป็นลำดับบ๊วยของอาเซียน ถ้ารัฐบาลฉีดได้ 20,000 โดส/วัน เราต้องใช้เวลาถึง 3,150 วัน กว่าจะฉีดได้ครบ 63 ล้านโดสที่สั่งไปแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งวางแผนการฉีด และกระจายวัคซีนให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนี้ ดิฉ้นเคยเสนอตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้ว ในการจัดการ “Endgame COVID.” ด้วยการปูพรมตรวจเชิงรุก ให้คนเข้าถึงการตรวจได้ง่ายและฟรีแต่จนป่านนี้รัฐบาลก็ยังไม่ทำ “

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ในการระบาดรอบใหม่นี้ ยิ่งต้องตรวจเชิงรุกให้มากที่สุด เพราะเชื้อแพร่เร็ว ติดกันง่าย จะได้เร่งนำคนติดเชื้อที่มีอาการเข้าโรงพยาบาลรักษา คนไม่มีอาการให้ไปดูอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลไปจัดทำรพ.สนาม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีสภาพเหมาะสมที่จะพักอาศัย แถมอาจจะทำให้ติดเชื้อมากขึ้น ขอเสนอให้รัฐบาล เช่าโรงแรม ที่ว่างอยู่จำนวนมาก จัดเป็นสถานที่พักดูอาการของผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ โดยจัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปจัดการบริหาร การระบาดรอบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวมาปีกว่าแล้ว งบประมาณก็มีมากมายทั้งงบประจำ และเงินกู้ แต่การ บริหารจัดการยังมีปัญหาอยู่เช่นเดิม ตั้งแต่เริ่มการระบาด ก็หาหน้ากากไม่เจอตอนนี้น้ำยาตรวจไม่พอ เตียงไม่พอ วัคซีนช้า ไม่เพียงพอ และตัวเลือกน้อย

“ทั้งหมดคือการไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งสิ้น นายกฯต้องหยุดโทษ! ประชาชน และกลับไปทบทวนการทำงานของตัวเองเสียใหม่คนไทยอดทนอย่างสุดๆแล้ว คำถามคือจะต้องให้ประชาชนทนไปอีกนานแค่ไหน” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image