ไอติม-พริษฐ์ ย้ำ 2 แนวทางผ่าวิกฤตประเทศ-วิกฤตการเมือง ประยุทธ์ลาออก-แก้รัฐธรรมนูญ

ไอติม-พริษฐ์ ย้ำ 2 แนวทางผ่าวิกฤตประเทศ-วิกฤตการเมือง ประยุทธ์ลาออก-แก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัครส.ส.กรุงเทพ แกนนำกลุ่ม Re-Solution เขียนบทความเรื่อง ประยุทธ์ลาออกคือการหยุดเชื้อ แก้รัฐธรรมนูญคือการฉีดวัคซีน : สองแนวทางที่ต้องทำคู่กัน ระบุว่า

ท่ามกลางการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของรัฐบาลที่กำลังสร้างทั้งความสะเทือนใจและความสิ้นหวังให้ประชาชนในทุกวัน มุมมองของหลายส่วนในสังคมไทยกำลังขยับเข้าใกล้ “ฉันทามติ” ที่เห็นร่วมกันใน 2 ส่วน อย่างที่อาจไม่เคยเป็นมาก่อน

ฉันทามติที่ 1 คือการเห็นตรงกันมากขึ้นว่า 3 วิกฤตที่ประเทศเผชิญอยู่ – วิกฤตสาธารณสุข วิกฤตเศรษฐกิจ และ วิกฤตการเมือง – ไม่ได้เป็น 3 วิกฤตที่แยกออกจากกัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นแค่ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ แต่ต้องทำทั้ง 3 ด้านควบคู่กันไป

Advertisement

ที่ผ่านมา ทุกคนอาจเห็นภาพชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิกฤตสาธารณสุขกับวิกฤตเศรษฐกิจ การควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อกับการประคับประคองเศรษฐกิจ เป็นสมดุลที่รัฐบาลต้องหาอย่างต่อเนื่อง หากพยายามเร่งเปิดพื้นที่โดยไม่สนใจเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อ ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงความฝันที่จบลงอย่างรวดเร็ว เหมือนกับ “ปราสาททราย” ที่พังทลายที่ภูเก็ต หลังพบผู้ติดเชื้อหลังเปิดนโยบายแซนด์บ็อกซ์ไปได้เพียง 8 วัน แต่หากจะสนใจแต่การควบคุมโรคโดยไม่เข้าใจความยากลำบากของประชาชนและผู้ประกอบการที่โดนกระทบ – อย่างเช่นการประกาศล็อกดาวน์ ที่ไม่ควบคู่มากับการเยียวยาที่เพียงพอ ครอบคลุม และทันที – “ราคา” ที่ประชาชนต้องจ่ายอาจสูงเกินกว่าที่จะทำให้รัฐบาลได้รับความร่วมมืออย่างที่หวัง

แต่ปัจจุบัน หลายคนเริ่มเห็นชัดขึ้นถึงความสัมพันธ์ของวิกฤตการเมือง – การเมืองที่ไม่โปร่งใส อาจมีส่วนทำให้การสรรหาวัคซีนมีความล่าช้า ท่ามกลางความจงรักภักดีของรัฐบาลต่อวัคซีนเพียงสองยี่ห้อที่เต็มไปด้วยข้อพิรุธ การเลือกปกปิดข้อมูลสำคัญในสัญญาจัดซื้อวัคซีน เป็นเสมือนการยืนยันข้อสงสัยที่ประชาชนมีเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของบางกลุ่มที่แอบแฝงอยู่ เช่นเดียวกัน การเมืองที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ก็ทำให้ “ของจำเป็น” ของประชาชนอย่างงบประมาณเยียวยาและงบประมาณสาธารณสุขต้องขาดแคลน ในขณะที่ “ของเล่น” ของกองทัพทั้งยุทโธปกรณ์และทหารเกณฑ์ไม่เคยขาดหาย

คงไม่มีช่วงเวลาไหนที่ชัดเจนไปกว่านี้ ในการทำให้เห็นว่าการเมืองส่งผลกระทบต่อความเป็นความตายของประชาชนอย่างไร

Advertisement

ฉันทามติที่ 2 คือการเห็นตรงกันมากขึ้นว่า รัฐบาลปัจจุบันล้มเหลวในการบริหารจัดการทั้ง 3 วิกฤต

หากเราต้องการมีการเมืองที่ช่วยชีวิตประชาชน เราจำเป็นต้องเปลี่ยนรัฐบาล

ข้อเรียกร้องปัจจุบันถึงทางออกทางการเมืองจึงแบ่งเป็น 2 ส่วน ระหว่างการกำจัด “ผู้นำ” รัฐบาล (ประยุทธ์ลาออก) กับ การกำจัด “อาวุธ” ที่ค้ำจุนรัฐบาล (แก้รัฐธรรมนูญ)

การถามว่า “เราควรแก้วิกฤตการเมือง ด้วยการให้ นายกฯ ลาออก หรือ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ” เปรียบเสมือนการถามว่า “เราควรแก้วิกฤตโควิด ด้วยการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ หรือ ด้วยการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ”

คำตอบคือต้องทำทั้งคู่ทันที

#ประยุทธ์ลาออก = #การลดจำนวนผู้ติดเชื้อ
#แก้รัฐธรรมนูญ = #การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

การปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศต่อ หลังจากผลงานที่ผ่านมา ก็เปรียบเสมือนการปล่อยให้มีการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างต่อเนื่อง และทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน

การเปลี่ยนนายกฯ เพื่อเปิดทางให้คนที่มีความสามารถมากกว่าในการบริหารวิกฤติที่ท้าทายนี้ จึงเป็นวิธีหนึ่งในการระงับการแพร่ระบาดของเชื้อและช่วยชีวิตประชาชน ที่ยิ่งทำเร็ว ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ

หากเราทำตรงนี้สำเร็จ แต่กลับชะล่าใจและไม่ผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลแบบประยุทธ์กลับมาบริหารประเทศได้อีก อีกไม่นาน เราอาจต้องวนลูปกลับมาที่เดิมและเสียเวลาเริ่มต้นใหม่ เมื่อมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่หรือเชื้อโรคสายพันธ์ุใหม่ – บทเรียนเดียวกับรัฐบาลที่ควบคุมโรคในระลอกแรกได้สำเร็จ แต่กลับชะล่าใจในการจัดสรรวัคซีน จนทำให้ประเทศไม่มีความพร้อมในการรับมือกับระลอกใหม่ จนสถานการณ์บานปลายดิ่งเหวมาถึงปัจจุบัน

การแก้รัฐธรรมนูญ จึงเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีน ที่จะช่วยสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคในปัจจุบันที่ชื่อว่าระบอบประยุทธ์ หรือเชื้อสายพันธุ์เดียวกันในอนาคต ที่อาจมาในนามอื่น แต่ผ่านกลไกเดียวกัน ด้วยแรงหนุนเดียวกัน และเพื่อเครือข่ายผลประโยชน์เดียวกัน ที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ

เช่นเดียวกับวัคซีนต้านโควิด – วัคซีนแก้รัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นต้องฉีดอย่างน้อย 3 เข็ม จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันทางประชาธิปไตยที่สูงสุด

เข็มที่ 1 = แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ตามข้อเสนอของ Re-Solution

การฉีดเข็มเดียว อาจไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เต็มที่ แต่จำเป็นต้องฉีดให้ได้เร็วที่สุด เพื่อชะลอการแพร่เชื้อ และบรรเทาอาการไม่ให้หนักเกินไป

การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา จึงเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เพราะถึงจะแก้ปัญหาไม่ได้หมด แต่เป็นสิ่งที่ทำได้เร็วที่สุด

เช่นเดียวกับวัคซีน ที่มีหลายยี่ห้อที่มีประสิทธิภาพต่างกันในการป้องกันเชื้อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ก็มีหลายข้อเสนอ ที่มีประสิทธิภาพต่างกันในการแก้ปัญหาการเมือง

ปัญหาหลักของรัฐธรรมนูญ 2560 คือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของระบอบประยุทธ์ในการสืบทอดอำนาจ วัคซีนเข็มแรกที่มีประสิทธิภาพที่สุด จึงเป็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่เป็นการตัดกลไกต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ มากกว่าการไปแก้ในประเด็นรายละเอียดที่ไม่ใช่ต้นตอของปัญหา (เช่น ระบบเลือกตั้ง)

ข้อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของกลุ่ม Re-Solution ที่มุ่งเน้นไปที่การรื้อกลไกเหล่านี้ ผ่านการยกเลิก ส.ว. การปรับที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการองค์กรอิสระ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการลบล้างผลพวงรัฐประหาร จึงควรเป็นเสมือนเข็มแรกของวัคซีนหลัก ที่ต้องรีบฉีดให้เร็วที่สุด ในขณะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเรื่องระบบเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านวาระที่ 1 เข้าไป เปรียบเสมือนวัคซีนที่ฉีดไป ก็ป้องกันเชื้อไม่ได้

เข็มที่ 2 = ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง และมีอำนาจพิจารณาทุกหมวด

แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มีเพียง “เนื้อหา” บางมาตราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่มี “ที่มา” และ
“กระบวนการ” ที่ไม่ชอบธรรมด้วย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราโดยกลุ่ม Re-Solution จึงเป็นเพียงขั้นตอนแรกในการสร้างหนทางกลับสู่ประชาธิปไตย

วัคซีนเข็มที่ 2 ที่ต้องตามมาติดกัน คือการจัดประชามติ เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และมีอำนาจพิจารณาแก้ไขทุกหมวดทุกมาตรา

การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สุด ที่จะทำให้ สสร. มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย หากอำนาจในการออกกฎหมายบ้านเมืองดำรงอยู่กับสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กฎหมายสูงสุดของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นต้องถูกกำหนดโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเช่นกัน

การให้ สสร. มีอำนาจในการพิจารณาทุกหมวดทุกมาตรา นอกจากจะเป็นเรื่องปกติตามวิถีประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นด้วยต่อบริบทการเมืองไทย ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ สสร. ต้องทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่สำคัญ ในการหลอมรวมทุกความฝันของประชาชนทุกกลุ่ม ให้สกัดออกมาเป็นฉันทามติใหม่ของสังคม ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และที่ทำให้ประชาชนกลับมารู้สึกเป็น “เจ้าของ” ของประเทศนี้ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

เข็มที่ 3 = ฟูมฟักรัฐธรรมนูญทางฉบับวัฒนธรรม ผ่านการต่อสู้ทางความคิด

ถึงแม้รัฐธรรมนูญที่เป็นเอกสารทางกฎหมายจะมีความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน แต่ประเทศเราจะไม่มีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน หากยังมีคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย แต่กลับพร้อมปันใจให้ทหารหรือคนบางกลุ่ม สามารถเข้าสู่อำนาจได้ผ่านกลไกนอกระบอบ ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะทำอย่างรัดกุมเพียงใด การปฏิรูปกองทัพ ไม่ว่าจะทำอย่างลึกซึ้งแค่ไหน ก็ไม่อาจสกัดกั้นการทำรัฐประหารได้ หากยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร เพียงเพราะหลงเชื่อว่า วิกฤติทางการเมืองต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จะจบลงได้ ต้องอาศัย “เทวดา” “พระเอกขี่ม้าขาว” หรือ “คนดี” เข้ามาบริหารประเทศ ไม่ว่ากระบวนการจะชอบธรรมแค่ไหน

ถ้าความเลวร้ายของระบอบประยุทธ์จะทำให้เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ผมหวังว่าสังคมไทยจะได้เรียนรู้ร่วมกัน ว่าไม่ว่าบ้านเมืองจะเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างไร เราจำเป็นต้องหนักแน่นและเชื่อมั่นในวิถีประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ถึงแม้เขาอาจมากล่อมให้เราเชื่อไปว่าเขา “ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ต้องไม่ลืมว่าทันทีที่เรายอมให้เกิดการรัฐประหาร อำนาจในการกำหนดนาฬิกานั้น ก็ไม่ได้อยู่ที่ประชาชนอีกแล้ว

ทางออกทางการเมืองของประเทศตอนนี้ จึงต้องเป็นทั้งการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ควบคู่ไปกับ การแก้รัฐธรรมนูญ

เหมือนกับทางออกเรื่องโควิด ที่ทั้งต้องหยุดการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ ควบคู่ไปกับการสรรหาและกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ

หากการล็อกดาวน์ในครั้งนี้ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อลดลงมาต่ำกว่าขีดอันตราย ทั้งหมดนี้ก็ไม่เป็นเหตุผลให้รัฐบาลประกาศความสำเร็จและหยุดเร่งสรรหาและฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้ประชาชน

เช่นเดียวกัน หากการที่ทุกภาคส่วนร่วมกันส่งเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกในช่วงนี้ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวหรือ พล.อ.ประยุทธ์ สำนึกเอง ทั้งหมดนี้ก็ไม่เป็นเหตุผลให้ประชาชนประกาศชัยชนะและหยุดเรียกร้องให้เราฉีดวัคซีน 3 เข็มทางการเมือง คือการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และฟูมฟักรัฐธรรมนูญทางความคิด เพื่อที่ท้ายสุดแล้ว ประเทศไทยจะได้มาซึ่งภูมิคุ้มกันทางประชาธิปไตย และการเมืองที่ช่วยชีวิตประชาชนได้จริงๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image