“ครม.” รับทราบผลสำรวจความคิดเห็นปชช.ช่วงโควิด อยากให้รบ.ลดภาระค่าสาธารณูปโภค

“ครม.” รับทราบผลโพลปชช.แผนปรับตัว-เข้าถึงดิจิทัล ช่วงโควิด พบใส่หน้ากากออกจากบ้านทุกครั้งสูงถึงร้อยละ 95.4 -อยากให้รัฐลดภาระค่าสาธารณูปโภคถึงร้อยละ 67.3 ชี้ โครงการเราชนะ เป็นประโยชน์มากสุด

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 14 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้านการปรับตัวและการเข้าถึงดิจิทัล โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 46,600 คน ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน -6 กรกฎาคม 2564 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.5 ไม่ได้ทำงานที่บ้าน เพราะอาชีพไม่เหมาะสมกับการทำงานที่บ้าน ส่วนปัญหาที่ประชาชนประสบในการทำงานที่บ้าน เช่น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี ส่วนการเรียนออนไลน์พบว่าร้อยละ 42 มีบุตรหลานอยู่ในวัยที่เรียนออนไลน์  ร้อยละ 14.7 มีบุตรหลานอยู่ในวัยเรียนแต่ไม่ได้เรียนออนไลน์  โดยปัญหาที่ประสบจากการเรียนออนไลน์ 5 อันดับแรกได้แก่ ไม่ค่อยเข้าใจในวิชาที่เรียน ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีสมาธิสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี และอุปกรณ์ไม่ทันสมัย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการปรับตัวเพื่อรับมือกับโควิด-19 พบว่า  3 อันดับแรกคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต เช่น ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านทุกครั้งและหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหากไม่จำเป็นร้อยละ 95.4 นำเงินออมออกมาใช้จ่ายร้อยละ 32.6 โดยพบในกลุ่มอาชีพค้าขาย ธุรกิจส่วนตัวในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น  และ กู้ยืมเงินหรือจำนำ ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ร้อยละ 22.8 โดยพบในกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไป ขับรถรับจ้าง กรรมกร ในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น สำหรับเรื่องที่รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จัดหาWIFI ฟรีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ร้อยละ 66.7 จัดหาอินเตอร์เน็ตให้ประชาชนในราคาถูกร้อยละ 60 จัดหาอินเตอร์เน็ตให้นักเรียน นักศึกษาฟรี ร้อยละ 47.6 จัดหาอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ ให้ประชาชนในราคาถูก ร้อยละ 42.2  และ จัดให้มีสถานที่กลางในการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนร้อยละ 33

น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย 3 อันดับแรกได้แก่ ลดภาระค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 67.3 จ่ายเงินชดเชย เยียวยาร้อยละ 60.7 และช่วยเหลือด้านค่าครองชีพร้อยละ 58.7 ขณะที่โครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีประโยชน์มากที่สุดได้แก่ โครงการเราชนะ ร้อยละ 76.2 ,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 66.7, มาตรการลดค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้าร้อยละ 65.4 โครงการคนละครึ่งร้อยละ 61.2  และโครงการม.33 เรารักกัน ร้อยละ 43.3

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image