‘พิชัย’ เตือน ‘ประยุทธ์’ เอาคนไม่รู้เรื่องบริหารศก.ถึงได้ล้มเหลว สวน ‘สุพัฒนพงษ์’ คิดเป็นแต่รีดภาษี จะฟื้นศก.ไม่ได้

‘พิชัย’ เตือน ‘ประยุทธ์’ เอาคนไม่รู้เรื่องมาบริหารเศรษฐกิจ ถึงได้ล้มเหลว สวน ‘สุพัฒนพงษ์’ ไปศึกษาข้อมูลในอดีตไม่ได้เก็บภาษีนี้ คิดเป็นแต่รีดภาษีจะฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ จี้ ชี้แจงเรื่องนายทุนพลังงานสั่งงานในกระทรวงจริงหรือไม่

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ตนเสนอให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงลำบาก ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ วิกฤตไวรัสโควิด และ สภาวะน้ำท่วม ซึ่งสามารถทำได้จริง แต่พลเอกประยุทธ์กลับลดการเก็บกองทุนน้ำมัน เพียง 1 บาทกว่า และยังให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน มาตอบโต้ โดยอ้างว่าหากไม่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ในภาวะปกติเงินภาษีรัฐจะขาดหายไปเป็นแสนล้านบาท ซึ่งเป็นความจริงที่รายได้จะหายไปมาก

นายพิชัย กล่าวว่า แต่รายได้นี้ ในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้รับอยู่แล้ว และยังสามารถบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาก อีกทั้งราคาน้ำมันโลกที่ลดลงมาตลอด 7 ปี ประเทศประหยัดเงินได้เป็นจำนวนมากปีละหลายแสนล้านบาท บางปีประหยัดถึง 4-5 แสนล้านบาทเลย แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่สามารถทำประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญได้ และยังไปขึ้นภาษีสรรพสามิตนำ้มันดีเซลที่สูงทำให้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันโลกที่ลดลงเลย

“ดังนั้น การที่นายสุพัฒนพงษ์ห่วงว่ารายได้จะขาดทั้งที่ในสมัยก่อนไม่ได้รายได้นี้อยู่แล้ว แสดงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่พึ่งแต่การรีดภาษีจากประชาชนโดยไม่ได้สนใจความลำบากของประชาชน ดังนั้นจึงอยากให้นายสุพัฒนพงษ์ได้ไปศึกษารายละเอียดในอดีตของเรื่องนี้ก่อน อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รัฐบาลที่มีความสามารถและคิดได้ มักจะต้องลดภาษีเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ อย่างเช่นในประเทศสหรัฐ ผู้นำที่ฉลาดจะลดภาษีเมื่อเศรษฐกิจแย่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงอยากให้นายสุพัฒนพงษ์ ไปอ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์บ้างจะได้เข้าใจ นอกจากนี้ข้อมูลของนายสุพัฒนพงษ์ยังคลาดเคลื่อน ในภาวะปกติประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 68 ล้านลิตรต่อวัน (ข้อมูลปี 62 ก่อนจะเกิดวิกฤตไวรัสโควิด ซึ่งทำให้การใช้น้ำมันดีเซลลดลงเหลือ 60 ล้านลิตรต่อวัน) ไม่ใช่ 100 ล้านลิตรต่อวันตามที่นายสุพัฒนพงษ์บอก ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ในฐานะ รมว. พลังงานน่าจะต้องศึกษาให้ดีก่อนพูด”

ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่นายสุพัฒนพงษ์เข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนยังไม่เห็นว่านายสุพัฒนพงษ์ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ที่ประชาชนจำได้เลย นอกจากแนะนำให้คนควักเงินออมออกมาใช้ ทั้งที่คนจนกันหมดแล้ว และ ล่าสุดที่ตอบในสภา นายสุพัฒนพงษ์ ยังหลงคิดว่าเศรษฐกิจไทยยังดี ทั้งที่คนกำลังลำบากกันอย่างมากทั้งประเทศ การอ้างบริษัทเครดิตเรตติ้งมูดี้ส์ยังคงอันดับให้ไทย ซึ่งมาจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสะสมที่มาจากหลายรัฐบาลในอดีต แต่ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลังอย่างมาก เศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร

Advertisement

พลเอกประยุทธ์น่าจะรู้ตัวได้แล้วว่าเลือกคนไม่ถูกกับงานมาบริหารเศรษฐกิจถึงได้ล้มเหลวมาตลอดมา ตั้งแต่นายสมคิดมาแล้ว ความล้มเหลวของนายสุพัฒนพงษ์พิสูจน์ได้ชัดเจน เมื่อมีชื่อนายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการ WTO จะเข้ามาแทนนายสุพัฒนพงษ์ คนจึงดีใจกันใหญ่ จริงๆตนและนายสุพัฒนพงษ์รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยทำงานที่กระทรวงพลังงานด้วยกัน เป็นผู้บริหารองค์กรที่เก่ง แต่พอมาเป็น รมต. กลับไม่มีผลงาน ตนเองพยายามไม่พูดถึงนายสุพัฒนพงษ์โดยตรง แต่เมื่อนายสุพัฒนพงษ์พูดถึงตน ตนก็ต้องขอบอกตรงๆ

นอกจากนี้ ปัญหาพลังงานยังมีอย่างมากทั้งการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการถึง 50% ทำให้ราคาไฟฟ้าราคาแพงเพราะต้องจ่ายค่าความพร้อมสูง การปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่บริษัทพลังงานเอาเปรียบประชาชน แต่นายสุพัฒนพงษ์ไม่กล้าแตะเพราะเคยทำงานใน บมจ. ปตท. มาก่อน อีกทั้งยังเคยมีปัญหาน้ำมันปาล์มหายจำนวนมหาศาลมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท ของบริษัทย่อยภายใต้ PTTGC ที่สื่อบอกว่าปิดเงียบในช่วงที่นายสุพัฒนพงษ์เคยดูแล และปัญหาการที่บริษัท PTTGC จะลงทุนใน Allnex Holding GmbH มูลค่า 1.48 แสนล้านบาทที่อาจจะมีค่าคอมมิชชั่นและอาจเกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้ และที่สำคัญจากข้อมูลที่ได้รับมา ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ที่การบริหารกระทรวงพลังงานของนายสุพัฒนพงษ์ กลับปล่อยให้นายทุนพลังงานที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เข้ามาสั่งงานทุกเรื่องได้ตามชอบใจ ขนาดข้าราชการระดับสูงยังต้องไปขออนุญาตจากนายทุนพลังงานในทุกเรื่องสำคัญ ก็อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวว่าจริงหรือไม่ และหากเป็นจริงนายสุพัฒนพงษ์ควรจะยังคงดำรงตำแหน่งอยู่หรือไม่

การจะฟื้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาความลำบากของประชาชน รัฐบาลจะต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าคิดเฉพาะกรอบแคบๆ แค่ห่วงภาษีที่จะขาด รัฐบาลจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย และจะยิ่งทำให้มีปัญหามากขึ้น ผู้บริหารเศรษฐกิจจะต้องมองภาพรวมของเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆได้ ถึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image