ซูเปอร์โพล ชี้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้

ซูเปอร์โพล ชี้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 1,130 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 7-9 ก.ค.2565 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.4 ระบุการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ ร้อยละ 80.5 ระบุเป็นเรื่องปกติธรรมดาทางการเมือง ที่มีแต่การแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์พวกพ้อง และร้อยละ 59.3 ระบุ เป็นโอกาสให้รัฐบาลและรัฐมนตรีได้ชี้แจงแสดงผลงาน

ที่น่าสนใจคือ 5 อันดับผลงานรัฐบาลกับการแก้วิกฤตของประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.5 ระบุ ทั่วโลกชื่นชมประเทศไทยเก่ง แก้วิกฤตโควิดได้ดีเยี่ยมระดับโลก ร้อยละ 80.9 ระบุ ปกป้องเสาหลักของชาติ ควบคุมความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ให้รุนแรงบานปลาย ร้อยละ 76.4 ระบุ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีไทย ซาอุดีอาระเบีย และนานาประเทศ สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจร่วมกัน

ร้อยละ 75.2 ระบุ กล้าเปลี่ยนแปลงนโยบาย ทำเรื่องกัญชาให้ถูกกฎหมาย ช่วยชาวบ้านให้ปลูกได้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และร้อยละ 73.1 ระบุ นโยบายเยียวยาวิกฤตเศรษฐกิจ เงินในกระเป๋าประชาชน เช่น โครงการ คนละครึ่ง ลดค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน และช่วยเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ เป็นต้น

นอกจากนี้ 5 อันดับบุคคลในรัฐบาลที่ควรทำงานต่อไป พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.7 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 55.9 ระบุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ 52.1 ระบุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 48.3 ระบุ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และร้อยละ 45.7 ระบุ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตามลำดับ

Advertisement

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้เพราะที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีแต่การแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์พวกพ้องครอบครัว ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติและของพี่น้องประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างแท้จริง และยังเชื่อว่ารัฐบาลจะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนี้ไปได้

นอกจากนี้ ยังระบุถึงผลงานของรัฐบาลที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่แก้วิกฤตโควิดดีเยี่ยมระดับโลก

Advertisement

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า สิ่งที่สังคมควรพิจารณาคือ ในท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิด แต่รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐสามารถปกป้องเสาหลักของชาติ ควบคุมความขัดแย้งของคนในชาติไม่ให้รุนแรงบานปลายได้ รวมทั้งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบียและนานาประเทศเอาไว้ได้ให้สามารถสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจร่วมกัน และประชาชนยังมองเห็นความกล้าเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลในนโยบายที่ละเอียดอ่อนแต่คำนึงถึงประโยชน์และภูมิปัญญาชาวบ้านท้องถิ่น เช่น นโยบายกัญชาเพื่อให้ชาวบ้านทำการรักษาโรคต่างๆ ด้วยกัญชาที่ถูกกฎหมายและทำให้วงการแพทย์ทำการศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพที่ดีของประชาชนได้ ทุกอย่างมีทั้งบวกและลบ เลือกเอาด้านคุณมาทำประโยชน์และควบคุมโทษให้อยู่ในวงจำกัดไม่ทำอันตรายต่อผู้ตัวเอง ผู้อื่นและสังคม

“ที่น่าสนใจคือ การรับรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและนโยบายเยียวยาวิกฤตเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่ง ลดค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน และช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษเป็นผลงานโดยภาพรวมส่งผลทำให้บุคคลสำคัญในรัฐบาลติด 1 ใน 5 อันดับที่ประชาชนเห็นควรให้ทำงานต่อไป ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมของผลโพลนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเวลาเหมาะสมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในการชี้แจงผลงานและเสริมสร้างการรับรู้และความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างฝ่ายบริหารและประชาชน” ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image