‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัลคนละ 1 หมื่น หวังกระตุ้น ศก. ชี้ลงทุน 5 แสนล้านทำแค่ปีเดียว
เมื่อวันที่ 6 เมษายน นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท.ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแจกเงินอีกแล้วและจะเอาเงินมาจากไหน
นายเศรษฐากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโต 2.6% ในขณะที่ประเทศอื่นซึ่งเคยเป็นรองเรา ตอนนี้เขาก็โตขึ้น 5% เราอยู่ในภาวะย่ำแย่ เหมือนคนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียู หลายนโยบายของพรรค พท. เราจะเป็นการกระตุ้นครั้งยิ่งใหญ่เพื่อให้เรากลับมาทำมาหากินมีรายได้ที่เหมาะสมได้ ฉะนั้น เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด จำนวนเงิน 10,000 บาทประกอบไปด้วย 1.ระยะเวลาในการใช้คือ 6 เดือน ร้านค้า เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมทั้งหลายจะได้ซื้อของมาตุนไว้เพื่อจะได้มีการซื้อขาย มีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ 2.ระยะทางที่เราวางไว้คือ 4 กิโลเมตร ซึ่งเราตระหนักว่าไม่อยากให้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในห้างใหญ่ๆ อย่างเดียว เราอยากให้เขาใช้ในพื้นที่ชุมชุม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่ที่เดียว แต่เมื่อเราเปิดตัวไปก็มีคนบอกว่าในบางพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีอะไรเลย เราอาจจะนำบล็อกเชนมาขีดเส้นรัศมีใหม่ได้
นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 5 แสนล้านต่อปี เราทำครั้งเดียวไม่ได้ทำทุกปี ให้ใช้หมดภายใน 6 เดือน สมมุติพรรค พท. เราได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และการที่จะได้ใช้งบประมาณหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วนั้นต้องใช้เวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะใส่เงินเข้าไปในกระเป๋า คนเริ่มไปจับจ่ายใช้สอย ได้แวทเพิ่มมากขึ้น ภาษีนิติบุคคลจากห้างร้านก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแสนล้าน การบริหารงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ที่อาจจะมาจากงบประมาณของอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีปีละแสนล้าน อาจจะนำมาใช้ประมาณ 30% หรือประมาณ 3 หมื่นล้าน หรืองบกลาง ซึ่งหากตนได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่อยากใช้เงินนี้ เพราะหากเกิดกรณีฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เราควรจะไปโฟกัสรายได้ที่จะมามากกว่า หรือกรณีที่บางคนบอกให้ไปตัดงบประมาณทหารมา ตรงนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องเข้าใจว่างบประมาณบางตัวก็ยังต้องมีอยู่บ้าง
ส่วนการบริหารจัดการเรื่องภาษี ในปีหน้าเราจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น จากที่ทีมงานเศรษฐกิจของพรรคได้ศึกษามา การจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นมา 2 แสนล้าน ปัจจุบันมีคนยื่นภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่คนที่เสียภาษีจริงๆ มีประมาณ 3.9-4 ล้านคน การที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลนี้ เราหวังว่าในระยะยาวจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น และการที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลเราไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“ผมยืนยันว่าผมมาตรงนี้ไม่ได้มารังแกหรือกีดกันเจ้าสัว 10,000 บาท จะใช้ที่ใดก็ได้ จะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ จะซื้อปุ๋ยหรือเมล็ดพันธุ์ก็ได้ หรือหากคุณเป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำไปใช้หนี้ได้หรือไม่ เราก็ยังไม่ได้คุยตรงนี้ ผมจึงบอกว่าอยากเจอประชาชนอยากฟังความคิดเห็นเขา ไม่ใช่เอาความคิดเราเป็นหลักว่าต้องใช้อย่างเดียว ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยอีกปัญหาหนึ่งคือปัญหาหนี้ครัวเรือน หากเราทำให้หนี้เขาลดลง ก็จะมีความสามารถการไปจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ซึ่งเราต้องเข้าใจเศรษฐกิจโดยรวมด้วย” นายเศรษฐากล่าว