ปธ.กกต.คาดแห่สมัคร ส.ว. 1 แสนคน เตือนพรรคการเมือง-อดีต ส.ว.อย่ายุ่ง ย้ำห้ามหาเสียง

ประธาน กกต.จัดติวเข้มสื่อ รับการเลือก ส.ว. คาดมีคนแห่ยื่นสมัครแสนคน แนะศึกษากฎระเบียบ-คุณสมบัติก่อนลงแข่งขัน เตือนพรรคการเมือง-อดีต ส.ว.ห้ามยุ่งแทรกแซง สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมให้ความรู้แก่สื่อมวลชนในการเลือก ส.ว. พร้อมทั้งพบปะพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางและการบูรณาการความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเลือก ส.ว. โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การเลือก ส..ว.ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2560 เคยเลือก ส.ว.มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2561 แต่ตอนนั้นเป็นการเลือกตามแบบบทเฉพาะกาล ซึ่งเป็นการเลือกกันเองรอบเดียว และเป็นการเลือกเฉพาะ 10 กลุ่มอาชีพ ซึ่งยุบรวมมาจาก 20 กลุ่มอาชีพ แต่ครั้งนี้จะเป็นการเลือก ส.ว.เต็มรูปแบบที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการเลือกกันเอง โดยผู้สมัครด้วยตนเอง จำนวน 3 ระดับ คือระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ

นายอิทธิพรกล่าวต่อว่า ขอเชิญชวนผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้มาสมัครเป็น ส.ว. เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการและ ส.ว.ครั้งนี้ โดยวาระของ ส.ว.ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ว. อีก 15 วันหลังจากนั้นจะมีการรับสมัคร ส.ว.เป็นเวลา 5 วัน ต่อด้วยอีก 5 วัน จะเป็นการประกาศรายชื่อผู้สมัคร และหลังจากปิดการรับสมัครไม่เกิน 20 วัน จะต้องจัดให้มีการเลือกระดับอำเภอ จากนั้นอีก 7 วัน จัดให้มีการเลือกระดับจังหวัด ต่อจากนั้นอีก 10 วัน ถึงจะเลือกให้เลือกระดับประเทศ จึงคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนกรกฎาคม เมื่อรู้ผลแล้วกฎหมายบอกว่าให้ กกต.รอไว้ก่อน 5 วัน เผื่อมีประเด็นอะไรต่างๆ ที่จะต้องทบทวน แล้วจึงประกาศผล

ADVERTISMENT

“ฝากผู้สมัครว่ากรุณาศึกษาและตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครให้ดีๆ และสำรวจตัวเองว่ามีความรู้ความเชี่ยวชาญประสบการณ์อาชีพ และความกลุ่มอาชีพใด เพราะมีกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสมัครให้ถูกกลุ่ม และศึกษารูปแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและบทกำหนดโทษ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งมีการออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 แก้ไขรองรับออกมาแล้ว และหากมีข้อสงสัยต้องการข้อมูล สามารถสอบถามได้จากสำนักงานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดต่างๆ สายด่วน กกต. 1444 หรือ Application Smartvote” นายอิทธิพรกล่าว

นายอิทธิพรกล่าวว่า ส่วนประเด็นป้องกันและปราบปรามการทุจริต กฎหมายระบุว่า 1.กกต.จะต้องแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการเลือกว่าปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ 2.มีการกระทำใดที่มีการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.หรือไม่ และ 3. มีการกระทำใดที่ทำให้การเลือก ส.ว.ไม่ทุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ โดยจะได้รับการสนับสนุน ชุดปฏิบัติการข่าว และชุดเคลื่อนที่เร็ว หากพบการกระทำความผิดสามารถแจ้งไปที่ กกต.จังหวัดต่างๆ หรือแอพพลิเคชั่นตาสับปะรดได้ ส่วนบุคคลใดที่สามารถแจ้งเบาะแสอันนำไปสู่การกระทำที่ไม่ทุจริตและเที่ยงธรรมมีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามระเบียบของ กกต.ว่าด้วยการให้เงินรางวัลแก่ผู้ชี้เบาะแส โดยรางวัลจะเป็นไปตามลำดับขั้นว่าเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีอย่างไร มีจำนวนสูงสุดคือ 1 ล้านบาท

ADVERTISMENT

นายอิทธิพรกล่าวต่อว่า การเลือก ส.ว.ครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้สมัครประมาณ 100,000 คน เมื่อทำการเลือกในระดับอำเภอ อำเภอหนึ่งแต่ละกลุ่มจะมีผู้ได้รับเลือกคะแนนสูงสุด 3 คน 1 อำเภอ 20 กลุ่ม เป็น 60 คน โดยอำเภอทั่วประเทศ คือ 928 อำเภอ เมื่อรวมแล้วจะมี 55,680 คน โดยทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการเลือกระดับจังหวัด เพื่อเลือกผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 2 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่มเป็นผู้ที่ได้รับเลือกไปสู่การเลือกระดับประเทศ รวม 3,080 คน จากนั้นการเลือกระดับประเทศจะเหลือ 200 คน จำนวน 20 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน

จากนั้นนายอิทธิพรให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการประมาณตัวเลขผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น ส.ว. 100,000 คนว่า เป็นตัวเลขประมาณการในเบื้องต้นของ กกต.ว่าในการเลือก ส.ว.ในครั้งนี้จะมีผู้สมัครไม่น้อยกว่านี้ แต่หากมีตัวเลขมากกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะประชาชนที่สนใจสามารถสมัครได้และถึงเวลาก็ไปเลือกกันเองกับกลุ่มอาชีพต่างๆ ยิ่งหากมีจำนวนมาก ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งไปยัง กกต.จังหวัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าหากประชาชนสนใจจะลงสมัคร สามารถสอบถามขั้นตอนและข้อมูลได้ที่ กกต.จังหวัด ถือเป็นความพยายามประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนที่สนใจ

ส่วนกรณีที่สถาบันการสร้างชาติให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเลือก ส.ว.นั้น ประธาน กกต.กล่าวว่า ไม่ได้มีกฎหมายห้าม ดังนั้น หากเป็นการจัดการอบรมเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจน่าจะเป็นส่วนที่ดี เพราะจะช่วยส่งเสริมเผยแพร่ความสำคัญของการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น ส.ว.

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นการสร้างเครือข่ายเพื่อบล็อกโหวต หรือล็อบบี้กันหรือไม่ ประธาน กกต.กล่าวว่า ตอนนี้ยังคงพูดแบบนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการประกาศมาว่าจะมีการอบรม ซี่งตนไม่แน่ใจว่ามีการอบรมไปแล้วหรือไม่ และมีการประกาศจัดในที่สาธารณะ จึงคิดว่าน่ามองตามข้อเท็จจริงไปก่อน

กรณีที่เริ่มมีการเปิดตัวจากผู้มีชื่อเสียงว่าจะลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น ส.ว.และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ตัวเองแล้ว สามารถทำได้หรือไม่ นายอิทธิพลกล่าวว่า ทำได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่แสดงความสนใจ บอกได้ ไม่มีใครห้าม โดยกระบวนการรับสมัครจะมีขึ้น 15 วัน หลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือก ส.ว. ดังนั้น ช่วงนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของทุกฝ่าย รวมถึงประชาชนที่สนใจลงสมัครด้วย เพราะวาระของส.ว.ชุดนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นาน และกระบวนการเลือก ส.ว.ก็จะมีขึ้นหลังจากนั้นไม่เกิน 60 วัน ฉะนั้น การให้ความรู้ การสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี

ประธาน กกต.กล่าวว่า ช่วงนี้ยังไม่มีข้อระวังอะไร เพราะยังไม่เกิดอะไรที่พึงระวัง และต้องค่อยๆ ดูข้อเท็จจริง เพราะ กกต.มีหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้การคัดเลือก ส.ว.เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ดังนั้น การที่จะคิดอะไรไปก่อนโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

เมื่อถามว่า มีความพยายามจะทำให้ผู้สมัครเป็นที่เข้าใจว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลัง ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า มาตรา 77 ได้กำหนดโทษเอาไว้แล้ว ส่วนจะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ทั้งนี้ เห็นชัดแล้วว่าเป็นการเลือกตั้งโดยประชาชน ซึ่งเหตุที่จัดให้มีการเลือกโดยประชาชนเพราะเคยมีการจัดให้มีการเลือกตั้งแล้วมีการอิงกับพรรคการเมือง และมีการใช้หัวคะแนน ดังนั้น อะไรก็ตามที่ไม่เป็นการดำเนินการสมัคร หรือดำเนินการสมัครด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย

ส่วนผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะสามารถลงสมัครได้จะต้องเว้นวรรค 5 ปีหรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ต้องเว้นวรรค 5 ปี แต่อดีต ส.ว.ที่จะรวมตัวกันจะส่งผู้สมัครไม่สามารถทำได้ เพราะเฉพาะ ส.ว.เองก็ลงสมัครไม่ได้อยู่แล้ว ซี่งการรวมตัวจะยิ่งถือว่าไม่เป็นอิสระ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่จัดให้มีการเลือกในระบบนี้เป็นครั้งแรกเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เข้ามาแทรกแซง ก็เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย

เมื่อถามว่า คณะก้าวหน้าที่ดำเนินการในเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นสามารถมีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น ส.ว.หรือไม่ ประธาน กกต.ย้ำว่า ไม่สามารถยึดโยงกันได้ เพราะเป็นการให้ประชาชน ผู้สนใจมาสมัคร จึงขอให้ยึดมั่นในคำนี้ ขณะที่การตรวจสอบของ กกต.ไม่จำเป็นต้องมีผู้มายื่นคำร้อง หากมีข้อเท็จจริงว่ากระทำการที่เข้าข่าย หรืออาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย กกต.สามารถตั้งเรื่องตรวจสอบเองได้

เมื่อถามว่า การเลือก ส.ว.ที่ผ่านมา กกต.ตั้งเป้าผู้สมัคร 100,000 คน แต่มาจริงแค่ 7,000 คน ดังนั้น กกต.จะมีนโยบายดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามเป้านั้น นายอิทธิพรกล่าวว่า ตอนนั้นตนพูดเองว่าจะมีผู้สมัคร 1 แสนคน โดยคำนวณจากพื้นฐานวิธีการสมัครและผลที่จะได้จากแต่ละอำเภอกลุ่มละ 3 คน แต่ข้อเท็จจริงที่ออกมาพบว่าผู้สมัครไม่เยอะ ไม่เป็นที่น่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้น แต่ขณะนี้ที่ตั้งเป้าตัวเลข 1 แสนคน เพราะเป็นการเลือกเต็มรูปแบบ ไม่ใช่บทเฉพาะกาล โดยผู้ที่ได้รับเลือกก็จะได้รับเลือกเลย แตกต่างจากปี 2561 ที่เลือกเพียงรอบเดียว เมื่อได้ 200 รายชื่อในระดับจังหวัดต้องส่งให้ คสช.เลือกอีก 50 คน ดังนั้น ปัจจัยการเลือกตั้งที่แล้วกับครั้งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงหวังว่าตัวเลขที่ 1 แสนคน ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ทั้งนี้ ย้ำว่าการเลือก ส.ว.ครั้งนี้ยังมีข้อห้ามหาเสียงเช่นเดิม

ส่วนที่อดีตรองเลขาฯกกต.ยืนยันว่า การเลือกตั้ง ส.ว.ปี 2561 เป็นการเลือกที่เงียบที่สุดในโลก ครั้งนี้จะเป็นเช่นเดิมหรือไม่นั้น นายอิทธิพรกล่าวว่า ครั้งที่แล้วไม่ได้เงียบที่สุดในโลก ถ้าเราจะพูดว่าเงียบที่สุดในโลก เราต้องทราบว่าในโลกนี้มีการเลือก ส.ว.ที่เงียบกว่าเราหรือไม่ แต่จริงๆ แล้ว กกต.ก็พยายามไปประโคมข่าวและประชาสัมพันธ์ให้มากที่สุด แต่ความสนใจของประชาชน ณ ขณะนั้นมีไม่เยอะเท่าที่เราคาดการณ์ไว้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image