ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : ไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง
รัฐบาล “แพทองธาร 1” มีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำงานด้วยความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญเต็มที่แล้ว หลังผ่านการแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร
2 วัน 2 คืน ที่ติดตามการแถลงของรัฐบาล และการวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายค้านนั้น แม้หากติดตามความคิดความเห็นที่ใครต่อใครแสดงกันในสื่อต่างๆ ที่แชร์กันเกลื่อนอย่างหลากหลายติดตามย้อนหลังกันได้ โดยทั่วไปจะออกมาในทางไม่ได้มีความหวังอะไรมากกว่าที่เคยเป็นมา แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่จะไม่เห็นคุณค่าของนโยบายที่นำมาแถลง เพราะที่ผ่านมา หลังจากแถลงไปแล้วก็เหมือนจะลืมๆ กันไป ว่าแถลงถึงความคิดอย่างไรที่มีต่อความเป็นไปของประเทศ และทำให้สิ่งที่คิดนั้นเป็นจริง
เหมือนแถลงแล้วก็แล้วกัน ที่ทำจริงเป็นงานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวไป เป็นหลักให้ใช้มาอ้างเป็นผลงานเอาตัวรอดเป็นคราวๆ ส่วนนโยบายเขียนมาอ่านหรูๆ ในวันแถลงนั้น เอาไว้หยิบมาพูดอีกเมื่อถึงเวลาที่จะต้องสร้างความหวังให้ประชาชนรู้สึกว่าประเทศจะดีขึ้น
อย่างที่บอก นั่นเป็นความคิดที่เกิดจากความเคยชินกับพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านๆ มาในแทบทุกยุคทุกสมัย ทำให้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรในเรื่องราวที่มาแถลง
อย่างไรก็ตาม หากหลุดจากกรอบความคิดที่เกิดจากความเคยชินที่ว่า ด้วยอย่างไรเสียแม้ส่วนใหญ่หรือเกือบทุกรัฐบาลจะให้ค่ากับการทำให้นโยบายประสบความสำเร็จน้อยกว่าการทำงานประจำแบบตำข้าวสารกรอกหม้อให้รอดไปเป็นคราวๆ แต่มีรัฐบาลหนึ่งสร้างผลงานได้ตามนโยบายที่ประกาศจะทำให้สำเร็จในหลายเรื่อง คือรัฐบาล “พรรคไทยรักไทย” ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” จนเป็นที่จดจำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถึงฝีมือความสามารถในการบริหารมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลชุดนี้มี “แพทองธาร ชินวัตร” ที่ “ทักษิณ” วางไว้ให้เป็นทายาทการเมือง วันนี้ที่ “ทักษิณ” กลับมาอยู่กับครอบครัว และแสดงออกอย่างมุ่งมั่นชัดเจนว่าจะช่วยลูกสาวที่ชื่นชอบชีวิตนักการเมืองให้สมหวังในการสร้างชื่อความเป็น “ผู้นำประเทศ” นั่นย่อมหมายถึง ความสำเร็จแบบที่พ่อเคยทำไว้จะต้องทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งในยุคสมัยของลูกสาวคนโปรด
ความสำเร็จคือทำนโยบายที่ประกาศไว้ให้เป็นผลงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ และทำให้ชีวีคความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อเนื้อหาการแถลงของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่เริ่มด้วยการนำเสนอ “ปัญหาท้าทายประการต่างๆ” หากไปติดตามย่อมสัมผัสได้ถึงความเชื่อว่าคนที่เขียนเป็นผู้เข้าใจปัญหาที่หมักหมมก่อสภาวะเสื่อมทรุดให้ประเทศอย่างกระจ่างระดับที่เป็นความหวังได้ เช่นเดียวกับนโยบายที่ประกาศว่าจะทำ มีหลายเรื่องหากประสบความสำเร็จจะเป็นเรื่องที่หากทำให้เกิดขึ้นจริงได้ เหมือนที่สมัย “นายกฯทักษิณ” เคยทำ จะทำให้ประเทศและชีวิตประชาชนดีขึ้นได้
ในอีกปัจจัยที่น่าจะทำให้เกิดแนวโน้มที่ดีคือ หากได้ฟังการวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายค้านต่อนโยบายต่างๆ จะพบว่าเป็นการพูดชี้ให้เห็นปัญหา และแนะนำตามอย่างที่ผู้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาของประเทศ และวิธีการบริหารจัดการให้หาทางออกของปัญหา สร้างสิ่งที่ดีกว่าได้
การทำงานของรัฐบาลที่กดดันด้วยการตรวจสอบอย่างมีคุณภาพเช่นนี้ จะยิ่งเป็นแรงส่งให้ต้องทำงานเอาจริงเอาจัง ต้องสร้างความสำเร็จในผลงานขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองหนักกว่ารัฐบาลในยุคสมัยที่ฝ่ายค้านเชี่ยวชาญแค่การแสวงโวหารด้อยค่า มากกว่าที่จะมีความรู้ปัญหาของประเทศ และความคิดในการแก้ไข
ยิ่งมีแนวโน้มว่าการเมืองการปกครองประเทศเรา เริ่มถูกสถานการณ์รอบด้าน โดยเฉพาะสภาพของประเทศที่เกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของ “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” บังคับให้ต้องรับรู้ว่ามีแต่ “ระบอบประชาธิปไตย” เท่านั้นที่จะพาประเทศและผู้คนไปอย่างมีความหวังในโอกาสการพัฒนา ยิ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่าโอกาสในการได้อำนาจรัฐขึ้นอยู่กับการสร้างผลงานให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธา
การทำงานในยุคสมัยที่ฝ่ายค้านเป็นนักการเมืองยุคใหม่ที่มากด้วยความรู้ความสามารถทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะทำให้รัฐบาลที่ยังมีส่วนผสมของความคิดเก่าอยู่มากต้องทำงานหนักขึ้นมากมาย เพื่อความหวังว่าจะสร้างคะแนนในสนามเลือกตั้งที่จะต้องมีขึ้นในทุก 4 ปี
ด้วยเงื่อนไขและปัจจัยที่มีผลต่อความหวังในโอกาสแห่งการสร้างความโดดเด่นระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคประชาชน” ที่จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยคุณภาพของความรู้ความสามารถมากกว่าวาทกรรมไร้สาระเหมือนที่ผ่านมา
น่าจะทำให้ “การแถลงนโยบาย” ไม่ใช่แค่การทำไปตามวาระ เหมือนถ่มน้ำลายทิ้ง ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเหมือนที่ผ่านมา
หาก “นักการเมือง” ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ทำหน้าที่ตามบทบาทโดยมีประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นเป้าหมาย
ความหวังต่างๆ ก็ไม่ไกลเกินไปที่จะไปถึง