นายกฯอิ๊งค์ คิกออฟ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 5 ภาค 16ต.ค.นี้ ต่อเนื่องแจกหมื่น มุ่งลดภาระค่าครองชีพ จุลพันธ์ นัดถกภาษีเงินได้ติดลบ
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แนวคิดภาษีเงินได้ติดลบ หรือ Negative Income Tax (NIT) เบื้องต้นอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา คาดว่ากว่าจะเห็นได้น่าจะอีก 1-3 ปี ตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้ใหม่ ที่ผ่านมาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาไว้แล้วเมื่อหลายปีก่อน กรมสรรพากรก็เคยหยิกยกเรื่องนี้ขึ้นมาดูเช่นกัน แต่ด้วยความที่ผ่านมานานแล้ว
รูปแบบของ Negative Income Tax ระดับนานาชาติได้ก้าวไปอีกจุด จากเดิมหลักการ NIT คือ การชดเชยภาษีให้กับคนจ่ายภาษีให้รัฐคือ ถ้าบุคคลหนึ่งเคยทำงานและจ่ายภาษีต่อเนื่อง แต่มาวันหนึ่งตกงาน รัฐบาลก็ต้องมีวิธีการใช้เงินภาษีที่ได้ไปช่วยในรูปแบบต่างๆ แต่ปัจจุบันนิยามได้เปลี่ยนไปเพราะ NIT ถูกมองถึงเรื่องของดูแลแบบสวัสดิการมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องหยิบสิ่งที่เคยศึกษามาดู ได้นัดหมาย สศค.และสรรพากรมาพูดคุยกันว่าศึกษาไปถึงไหน เราจะได้ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ หลังจากนั้นจะร่วมกันศึกษา หากได้ข้อสรุปจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
นายจุลพันธ์กล่าวว่า สิ่งต้องทำอย่างแรกเพื่อให้เกิดระบบ NIT คือ ดึงทุกคนเข้าระบบภาษี ไม่ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีหรือไม่ก็ รัฐบาลต้องตั้งเส้นวัดรายได้ขึ้นมา เพื่อคัดกรองว่าใครมีรายได้ต่ำกว่าเส้นดังกล่าว ก็ต้องมีกลไกคืนภาษีเพื่อช่วยเหลือ แต่คนจะได้รับการช่วยเหลือต้องจ่ายภาษีมาระดับหนึ่ง ถึงจะช่วยได้เต็มรูปแบบ ส่วนคนไม่ทำงานเลย รัฐบาลอาจช่วย แต่คงไม่เยอะ เพื่อไม่ให้ลักลั่นในระบบ หากถึงจุดที่ NIT เกิดขึ้นจริง รัฐบาลอาจต้องแก้กฎหมายสรรพากร ทำได้หลายวิธี
ทั้งการปรับเกณฑ์ตัวเลขยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ปัจจุบันกำหนดให้ผู้มีรายได้ 120,000 บาทต่อปีต้องยื่นแบบ ต้องทบทวนดูว่าจะปรับเกณฑ์รายได้ให้ต่ำลงหรือไม่ หรือปัจจุบันยื่นแบบแบบสมัครใจ อาจต้องทำกลไกให้ทุกคนเข้าสู่ระบบให้ได้ เมื่อศึกษา NIT แล้ว ต้องพิจารณาว่าจะใช้หรือไม่
ถ้าใช้ ต้องดูว่ากลไกที่ทำขึ้นมาทดแทนอะไรบ้าง หากทดแทนสวัสดิการได้หลายประเภท อาจต้องยกเลิกโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน กรณีมี NIT จะช่วยลดภาระงบประมาณด้านสวัสดิการนั้น ไม่เกี่ยวกับลดภาระ รัฐบาลต้องดูตัวเลขที่เหมาะสมคือ ประชาชนอยู่ได้ ส่วนระยะยาวต้องดูว่าการช่วยเหลือสวัสดิการจะเป็นภาระงบประมาณแค่ไหน เนื่องจากปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ถ้ายังใช้กลไกรัฐบาลเติมงบประมาณจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุไปเรื่อยๆ นั้น เป็นความเสี่ยงเงินไม่พอ ต้องปรับโครงสร้างทั้งหมด การดึงคนเข้าสู่ระบบภาษี เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เป็นประโยชน์ระยะยาว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00-11.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวคิกออฟ เปิดตัวโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมไลฟ์สดพูดคุยกับผู้ประกอบการ และถ่ายทอดบรรยากาศกิจกรรมฟื้นฟูจากสถานที่จริงในทุกภูมิภาค 5 แห่ง ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ณ ศาลากลางจังหวัดลพบุรี ณ โรงพยาบาลอานันทมหิดล ค่าทหาร จังหวัดอุดรธานี ณ ห้างสรรพสินค้าเซฟมาร์ท จังหวัดภูเก็ต ณ ห้างสรรพสินค้า Super Cheap และจังหวัดเชียงราย ณ สถานีบริการน้ำมันพีทีที
ทั้งนี้ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโครงการต่อเนื่องจากการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ ซึ่งการคิกออฟในวันที่ 16 ตุลาคม มุ่งลดภาระค่าครองชีพประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการและอาชีพทั่วไป และขยายโอกาสให้กับธุรกิจ ที่มีทั้งรูปแบบลดราคาสินค้า ลดค่าเช่าพื้นที่ และเปิดจุดจำหน่ายสินค้า เป็นต้น โดยโครงการกำหนดทำต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 เดือน มุ่งสร้างเม็ดเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่ำ 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงด้านเศรษฐกิจ และภาคเอกชน