มีชัย ชี้ ไทยพีบีเอส ซื้อตราสารหนี้ ไม่กระทบอิสระการทำงาน

“มีชัย” แจงความคืบหน้าร่างกม.กกต. ชี้ ปม.ทีวีไทย ซื้อตราสารหนี้ ไม่กระทบอิสระการทำงาน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 มีนาคม ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้กำลังทบทวนถึงข้อเสนอที่มีการเสนอแนะมาอยู่ โดยกำลังไล่ดูว่าถ้าหากปรับแก้ตามจะมีความเหมาะสมและจะขัดต่อหลักการของร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ การพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วย กกต.ว่าตอนนี้ กกต.มีข้อเสนอในเรื่องของผู้ตรวจการเลือกตั้ง ในส่วนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองและอำนวยความสะดวกในด้านการทำงานของผู้ตรวจการเลือกตั้ง ซึ่งตรงนี้ กรธ.ก็ได้เติมให้เขาแล้ว อาทิ เวลาที่เขาเดินทางก็ต้องให้เขามีประกันอุบัติเหตุ หรือว่าถ้าเขาถูกฟ้องจากบุคคลที่ไม่ใช่อัยการก็จะมีการคุ้มครองโดยการหาทนายเพื่อช่วยเหลือในการสู้คดี ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอจากทาง กปปส. ให้สมาชิกพรรคในแต่ละพื้นที่เป็นผู้เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น ตนเห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้เขียนไว้ เพราะในร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้บังคับไปถึงขนาดนั้น วันข้างหน้าอาจจะทำได้ แต่ถ้าจะทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่เยอะมาก ใครจะเป็นไปจัดการ ถ้าให้พรรคการเมืองไปจัดการก็คงจะต้องจะใช้เงินเยอะมาก แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปดำเนินการ

นายมีชัย กล่าวถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณการดูงานต่างประเทศว่าในขั้นนี้ กรธ.จะกำหนดว่าผู้ที่เป็นองค์กรอิสระจะต้องไม่เป็นนักศึกษาคอร์สอบรมอะไร เพราะถือว่าคัดเลือกมาดีแล้วและจะขัดต่อหลักการที่องค์กรอิสระจะต้องทำงานเต็มเวลา แต่ถ้าหากจะไปเชิญผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาบรรยายเฉพาะเพื่อจะพัฒนาการทำงานในองค์กรอิสระตรงนี้สามารถทำได้ ในส่วนของพรรคการเมืองนั้น กรธ.ได้เขียนกำหนดว่างบพัฒนาพรรคการเมืองห้ามไม่ให้นำไปใช้เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าจะเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องตั้งงบประมาณเอาเอง ซึ่งกรธ.ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

นายมีชัย กล่าวถึงกรณีที่ทพ.กฤษฎา เรืองอารีย์รัชต์ ผอ.สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวเพื่อรับผิดชอบกรณีซื้อตราสารหนี้ ซีพีเอฟ ว่าถ้าการที่สื่อมวลชนไปซื้อหุ้นบริษัทเอกชนว่าต้องถามว่าถ้าหากหน่วยงานรัฐได้เงินมาแล้วเอาไปฝากไว้ในธนาคาร แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งแล้วแบบนี้จะทำให้เสียความเป็นอิสระขององค์กรนั้นหรือไม่ ก็ไม่เสีย ทั้งนี้ในปัจจุบัน วิธีการลงทุนนั้นมีมาก ทางกฎหมายจึงได้เขียนว่าถ้าหากมีการนำเงินของหน่วยงานราชการหรือองค์กรต่างๆไปลงทุนในวิธีอื่นๆนอกจากการฝากธนาคารของรัฐ จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการที่ควบคุมก่อน ซึ่งเขาก็จะดูเป็นกรณี ส่วนการลงทุนอย่างไรแล้วจะทำให้ความเป็นอิสระขององค์กรนั้นสูญเสีย ก็คงต้องดูเป็นเรื่องๆไป ส่วนกรณีไทยพีบีเอสนั้นตนไม่ขอให้ความเห็นอะไรเพราะว่าเท่าที่เห็นนั้นข้อมูลจากในข่าวแต่ละแหล่งไม่ตรงกัน บางข่าวบอกว่าไปซื้อหุ้นซีพีเอฟ บางแหล่งบอกว่าซื้อตราสารหนี้ ซึ่งตามหลักการแล้วการซื้อหุ้นและตราสารหนี้นั้นไม่เหมือนกัน ตราสารหนี้นั้นจะเหมือนกับหุ้นกู้ซึ่งคล้ายกับการกู้เงินแล้วก็มีดอกเบี้ยตามมา แต่อย่างไรก็ตามตนมองว่าการให้กู้เงินนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะกระทบต่อความเป็นเจ้าของของหน่วยงานนั้นๆอยู่ดี

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image