บัวแก้วจัดงานเสวนา ชี้ MOU44 เป็นแค่กรอบการเจรจา ย้ำเร่งหารือพัฒนาพื้นที่ร่วม แก้วิกฤตพลังงาน
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ห้องสยาม ฮอลล์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กระทรวงการต่างประเทศ จัดงานเสวนาโต๊ะกลม OCA ไทยกัมพูชา: ข้อเท็จจริงและทางเลือก โดยมีนายทรงชัย ชัยปฏิยุทธ รองอธิบดีฯ รักษาการอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ดร. สรจักร เกษมสุวรรณ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายคำนูณ สิทธสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และนายอังกร กุลวานิช รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ร่วมเป็นวิทยากร
ผู้สื่อข่าวรายงาน นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิดงาน โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานนี้ว่า เป็นโอกาสในการรับฟังข้อมูลเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมงาน ทั้งในมิติกฎหมายระหว่างประเทศ พลังงานรวมถึงบทบาทของภาครัฐ อีกทั้งยัง ยังเป็นเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะถูกนำไปพิจารณาต่อไป
ต่อมา น.ส. สรัสนันท์ อรรณนพพร ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และ นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมธิการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวเปิดเวทีเสวนา บทบาทของรัฐสภาต่อประเด็น OCA รวมถึงข้อคิดเห็น/ ข้อกังวลเบื้องต้น
น.ส. สรันนันท์กล่าวว่า กรรมธิการระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับเสียงของพี่น้องประชาชนในประเด็นซึ่งรวมถึงทรัพยากรที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ จึงได้ตั้งอนุกรรมธิการเพื่อมาศึกษาหาข้อเท็จจริงและศักยภาพ รวมถึงการดำเนินการสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาด้วย
ในด้านนายชิบกล่าวว่า การใช้ MOU44 เป็นการประหยัดเวลาเพราะการดำเนินการทำสนธิสัญญานั้นใช้เวลานาน และอย่าตื่นตัวหรือกลัวเกินเหตุว่าเราจะต้องเสียพื้นที่ทับซ้อนไป ใน MOU ก็ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องสำรวจทรัพยากรปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติเท่านั้นเอง พร้อมทั้งเสนอแนะว่า ควรจะมีการลงประชามติในเรื่องนี้ รวมถึงประเด็นทางสังคมอื่นๆ ด้วย
ในหัวข้อ กฎหมายระหว่างประเทศและการเจรจา OCA ไทย-กัมพูชา นายทรงชัยกล่าวถึงวิวัฒนาการทางกฎหมายว่า เมื่อเกิดแนวคิดของการสร้างรัฐ จึงเกิดกระบวนการการอ้างสิทธิและจัดระเบียบทรัพยากร เองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดกฎหมายทางทะเลขึ้น โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นคนไทยคนแรกที่เป็นประธานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งทำให้เกิด อนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวง อนุสัญญาว่าด้วยการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในทะเลหลวง และ อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป
นายทรงชัยกล่าวอีกว่า ในปี 2544 รัฐบาลไทยและกัมพูชามีนโยบายที่จะตกลงเจรจาเรื่องแบ่งเขตทางทะเลที่มีพื้นที่ทับซ้อนจากการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของไทยและกัมพูชา ขนาด 26,000 ตร. กม. และเรื่องพัฒนาพื้นที่ร่วมกันไปพร้อมกัน โดยมิอาจแบ่งแยกได้ โดยให้คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา เป็นกรอบเจรจาหลัก
ต่อมา ดร. สรจักร กล่าวในหัวข้อ MOU2544 ในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ ว่า ตามข้อกฎหมายระบุว่า ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งมีสิทธิในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยสามารถบัญญัติกฎระเบียบที่สำรวจและแสวงหาผลประโยชน์
อีกทั้ง ในข้อ 74 และ 83(3) ระบุว่า ในช่วงเวลาที่ รัฐยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ขอให้จัดทำความตกลงชั่วคราว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อการกำหนดขอบเขตขั้นสุดท้าย โดย MOU44 สอดคล้องกับข้อกฎหมายนี้
“การเจรจาการแบ่งเขตในทวีปนั้นแสนยาก เพราะทุกประเทศก็อยากได้ผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด จึงสามารถคำข้อตกลงชั่วคราวไปก่อน ซึ่งรวมถึง พัฒนาพื้นที่ร่วม ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ“ ดร. สรจักรกล่าวโดยได้ยกกรณีข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ร่วมระหว่างไทยและมาเลเซียเป็นตัวอย่าง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังตกลงกันไม่ได้ อีกทั้งยังเน้นย้ำด้วยว่า การดำเนินการทั้งหมดตาม MOU44 ไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ทางทะเลทั้งสองฝ่าย
เสร็จจากนั้น นายคำนูณ กล่าวในหัวข้อมุมมองต่อ MOU2544 ว่า การกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยและกัมพูชาแต่ต่างกันมากเป็นพื้นที่กว่าสองหมื่นพันกิโลเมตร โดยกัมพูชานั้นยึดหลักกฤษฎีกากำหนดไหล่ทวีปปี 1973
“ตอนนี้ไทยกำลังประสบกับวิกฤตพลังงาน ไทยจึงได้จัดทำข้อตกลงที่ระบุเรื่องการพัฒนาร่วมด้วย เพราะจะได้ผลประโยชน์ทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ เรื่องการแบ่งเขตทางทะเลเป็นเรื่องใหญ่จึงควรทำทั้งสองเรื่องไปพร้อมกัน” นายคำนูญกล่าวเสริม
ในช่วงหัวข้อ อนาคตความมั่นคงแห่งพลังงานจากอ่าวไทย ดร. คุรุจิต กล่าวว่า ในปัจจุบัน ปริมาณก๊าซสำรองของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤต ขณะที่ก๊าซของเมียนมาก็ส่งมาได้น้อย จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าไฟ ดังนั้น การบรรลุข้อตกลงการพัฒนาร่วมจึงเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดกิจกรรมสำรวจเพื่อการผลิตเพิ่ม ตลอดจนปริมาณสำรองของก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดการลงทุน และเป็นการสร้างรายได้อีกด้วย
ในหัวข้อ คลายสงสัย ไขปมคำถาม OCA นายอังกูร กล่าวเริ่มว่า ไม่มีพื้นทับซ้อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการอ้างสิทธิ์ เขตพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างเป็นแค่แผนผังไม่ใช่แผนที่เพื่อบรรยายขอบเขตให้เห็น โดย MOU44 เป็นแค่เพียงความตกลงที่ทำให้เกิดการเจรจากัน ไม่ใช่เป็นการยอมรับเขตแดน
“หลักกฎหมายระหว่างประเทศคือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด คำตอบที่ดีที่สุดที่เราจะอธิบายได้ไม่ว่าเราจะตกลงออกมาในรูปแบบใดก็ตาม เพื่อให้เป็นการธำรงค์ไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ“ นายอังกูรกล่าวย้ำ
ในช่วงท้ายของการเสวนา สำหรับคำถามว่า เมื่อไรจะแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค นายรัศน์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กกล่าวว่า ทางรัฐบาลยังไม่ได้จัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าว เพราะกระบวนการจัดการจำเป็นต้องดำเนินไปอย่างรอบคอบและรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายอย่างเปิดเผย
นายรัศน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทุกรัฐบาลก่อนรัฐบาลปัจจุบันดำเนินการตาม MOU44 นี้ ยังไม่เคยมีการถูกประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการ ใช้มาตั้งแต่ 2544 จนถึงปัจจุบัน หมายความว่าที่ผ่านมาทุกรัฐบาลดำเนินการตามข้อตกลงนี้“