สภาฯถก ร่าง”พ.ร.บ.ตอบแทนผู้เสียหายฯ” ครอบคลุมจำเลย หรือ “แพะ” ที่ศาลตัดสินยกฟ้อง ขยายระยะเวลาขอค่าเยียวยา2 ปี ลดขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน “ก่อแก้ว”ยกเคสตัวเอง ทำเสียโอกาส ถูกจำคุก 8 เดือนครึ่ง ได้ชดเชยเดือนละหมื่น ทั้งที่ทำธุรกิจได้เดือนละ 2 แสน สุดท้ายไม่ได้โหวต “ภราดร”สั่งปิดประชุมก่อน
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตอบแทนผู้เสียหายและค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ….เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดย นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รายงานหลักการและเหตุผล ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาพ.ศ. 2544 แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อพ.ศ. 2559 สำหรับการให้ความช่วยเหลือตามกฎหมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ1.ผู้เสียหายในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรม บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นโดยตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว และ2.จำเลยในคดีอาญาหรือที่เรียกว่า “แพะ” ทุกคนที่ถูกพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาและถูกจำคุกในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมาได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด
นางมนพร กล่าวต่อว่า ด้วยหลักการของร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีการเพิ่มบทนิยามคำว่า “ผู้ต้องหา” และแก้ไขคำว่า “ค่าตอบแทน” และ “พนักงานอัยการ” และกำหนดสิทธิ์การได้รับค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายของผู้ต้องหาในคดีอาญา หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา กำหนดให้จ่ายค่าตอบแทน ค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากกฎหมายที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี พร้อมเพิ่มหมวดการจ่ายค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา
นางมนพร กล่าวว่า สำหรับเหตุผลเนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา5 บัญญัติว่าบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิ์ หรือเสรีภาพ จากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเยียวยา หรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ อีกทั้งพ.ร.บ.เดิมมีการบังคับใช้มาเป็นเวลานาน แต่ไม่ครอบคลุมการช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่ได้กระทำความผิด รวมถึงจำเลย หรือ แพะ ที่ศาลตัดสินยกประโยชน์แห่งความสงสัย มีการช่วยเหลือเยียวยาค่อนข้างน้อย จึงควรมีการขยายการเยียวยาให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกเหตุผลที่ศาลตัดสินยกฟ้อง และที่ผ่านมาประชาชนมีการทำคำขอการเยียวยาเกินระยะเวลา1 ปี และขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน
“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงจำนวน 16 มาตรา โดยสาระสำคัญคือการขยายการช่วยเหลือจำเลยในชั้นสอบสวน ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมช่วยเหลือแค่ชั้นพิจารณาคดี และขยายการช่วยเหลือจำเลยที่ศาลตัดสินยกฟ้องให้ได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น อีกทั้งขยายระยะเวลาการยื่นคำขอจาก1 ปี เป็น 2 ปี เพิ่มการช่วยเหลือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนที่อัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง และไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด รวมถึงการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และลดขั้นตอนการช่วยเหลือเยียวยาให้สั้นลง”นามนพร กล่าว
จากนั้นสมาชิกได้แสดงความเห็น โดยส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุน อาทิ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เห็นด้วยที่มีการเพิ่มกรณีผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกยัดข้อหาหรือแพะ ที่ตำรวจ หรืออัยการ ยกคดี ให้มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยตอบแทนเพิ่มเข้ามา โดยกรณีของตนถือเป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งที่เป็นแพะ จากที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดนคดีหลายมาตรา ทำให้เสียโอกาสทำธุรกิจมากมาย เพราะติดคุกในช่วงเวลาหนึ่ง แต่โชคดีที่ศาลให้ความเป็นธรรมจึงหลุดรอดคดีมาได้ด้วยการยกฟ้อง ทั้งนี้เห็นด้วยที่ให้มีการขยายเวลาการยื่นขอรับค่าตอบแทนจาก1 เป็น2 ปี เพราะบางครั้งผู้เสียหายทำไม่ทันหรือไม่รู้เงื่อนไขเวลาของราชการ แต่อยากให้พิจารณาในชั้นกรรมาธิการว่าการขยายเป็น2 ปี โดยร่างกฎหมายนี้เขียนให้นับเวลาจากวันที่ศาลยกฟ้อง หรือวันที่รับการแจ้งว่ามีการถอนฟ้อง แต่มีบางกรณีเช่นศาลชั้นต้นยกฟ้องและอัยการไม่อุทธรณ์ หรือกรณีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแต่อัยการไม่ฎีกา ซึ่งปกติทางหน่วยงานไม่ได้แจ้งให้ผู้เสียหายรับทราบว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ผู้ถูกฟ้องหรือจำเลยต้องให้ทนายความไปขอคำสั่งจากศาล ว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีศาลยกฟ้องหรือตำรวจ อัยการสั่ง หรือไม่ฟ้อง ดังนั้นหากผู้เสียหายไม่ทราบขั้นตอนตามกฎหมายก็จะไม่มีเอกสารในการยืนยันว่าตนคดีสิ้นสุดเมื่อไหร่ จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มนับเวลาเพื่อยื่นขอค่าตอบแทนเมื่อไหร่ จึงอยากให้เพิ่มเติมประเด็นนี้เข้ามาด้วย
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ค่าชดเชยเยียวยาที่กำหนดไว้ เช่น ค่าทดแทนการคุมขัง ค่ารักษาพยาบาลฟื้นฟูสมรรถภาพ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ตนมองว่าเป็นการเขียนครอบคลุมกรณีทั่วไปทั้งหมด โดยปกติคณะกรรมการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้เสียหายจะเสนอความเห็นต่อครม.เพื่อให้อนุมัติออกเป็นกฎกระทรวง เป็นอัตราค่าใช้จ่ายอัตราเดียว แต่ครอบคลุมบุคคลทุกประเภท ต้องยอมรับว่าคนเป็นแพะทุกวันนี้มีหลากหลายอาชีพ และสถานะ ความเสียหายแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน หากใช้อัตราเดียวกันอาจทำให้หลายคนไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น ในร่างกฎหมายกำหนดค่าทดแทนการคุมขังในอัตราวันละ 500 บาทเท่านั้น ค่าชวดประโยชน์ทำมาหากินคิดเป็นอัตราค่าจ้างรายวันที่ทำงานในจังหวัดที่ตนเองอาศัยเท่านั้น ตรงนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ถูกยัดเยียดข้อหาและพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์
“ยกตัวอย่างกรณีของผมต้องถูกขังประมาณ 8 เดือนครึ่ง เมื่อศาลให้ประกันตัว พอไปขอเงินชดเชยจากการสูญเสียรายได้ และโอกาส ทางกรมคุ้มครองสิทธิให้มาแค่ 8.5 หมื่นบาท หรือเดือนละประมาณ 1 หมื่นบาทเท่านั้น ตอนผมทำธุรกิจเงินเดือนปีละกว่า 2 ล้านบาท ในยุคนั้นเฉลี่ยแล้วเดือนละเกือบ 2 แสนบาท แต่ผมได้เงินชดเชยแค่เดือนละ 1 หมื่นบาท ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ไม่แฟร์ จึงขอให้กรมคุ้มครองสิทธิช่วยทำตัวเลขที่เหมาะสมต่อข้อเท็จจริง และกลุ่มบุคคลอาชีพต่างๆ ที่เป็นแพะให้ได้รับการชดเชยที่ยุติธรรมและเป็นธรรมด้วย”นายก่อแก้วกล่าว
ขณะที่นายธีระชัย พันธุมาศ ส.ส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า เห็นด้วยว่าหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ดีกว่าเดิมแต่ไม่ดีที่สุด เช่นกรณีที่ให้คณะกรรมการกลั่นกรองใช้ดุลยพินิจต่อจากศาลอีกครั้ง ทั้งที่ศาลได้พิจารณาโดยละเอียดแล้ว ที่สำคัญการเยียวยาผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีอาญาที่เกิดจากการผิดพลาดบกพร่องของรัฐ รัฐควรจะต้องรับผิดชอบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของเขาโดยความผิดพลาด การให้คณะกรรมการการมีอำนาจใช้ดุลยพินิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากใช้อย่างไม่เที่ยงธรรม หรือหวังประหยัดงบประมาณ ก็จะสร้างความลำบาก เพราะจากที่กรมคุ้มครองสิทธิได้รายงานมายังวิปฝ่ายค้านว่าหากเอาทุกคดีที่มีประมาณ 16,000 คดี ที่ถูกศาลตัดสินยกฟ้อง จะเยียวยาประมาณรายละ 2 แสนบาทหรือ 7,300 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ประมาณว่าจะจ่ายเยียวยาแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากในมาตรา 22 กำหนดว่าผู้เสียหายจะต้องยื่นภายใน2 ปี ทำไมต้องกำหนดไว้ในเมื่อเป็นความผิดพลาดบกพร่องของรัฐ เมื่อเขาถูกยกฟ้องก็ควรเป็นสิทธิ์ที่จะได้รับเลย และควรเป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิต้องไปติดตามและมอบให้โดยอัตโนมัติ จึงเห็นว่าเมื่อแก้กฎหมายแล้วก็ควรจะแก้ให้สุด
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ควรจะมีการประเมินเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยว่าหากมีความระมัดระวังทำไมถึงปล่อยให้มีถึงปีละ 16,000 คดี ควรมีการทำสถิติหรือบันทึกการทำงานของข้าราชการแต่ละคนไว้เป็นการประเมินเลื่อนตำแหน่งหรือความดีความชอบได้หรือไม่ เพื่อจะได้ระมัดระวังในการดำเนินคดีเพราะการฟ้องคดี ไม่ว่าจะมีพยานหลักฐานเพียงพอหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ตนเป็นทนายความมา 30 ปี เห็นว่าบางครั้งก็ฟ้องเกินข้อหา หรือฟ้องไปก่อนเพื่อให้ศาลตัดสิน ซึ่งทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม เพราะเมื่อถึงที่สุดคนเหล่านี้ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย ซึ่งถือเป็นมาตรการในการวางคุณภาพของการดำเนินคดีอาญาของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ต่อมาเวลา 17.25 น.หลังสมาชิกอภิปราย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่ง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงเสร็จสิ้น นายภารดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้ให้สมาชิกลงมติว่าจะรับหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่ แต่กลับกล่าวว่า ทราบว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วว่าให้ไปลงมติครั้งหน้า และขอปิดประชุม