เปิดผลทดลอง มุ้งสู้ฝุ่น พบลดละอองได้ถึง 36.3 -​ 75 % งบไม่เกิน 3,000 พัน

โชว์ นวัตกรรมใหม่​ “มุ้งสู้ฝุ่น” ใช้งบไม่เกิน 3 พันบาท สำหรับผู้ป่วยติดเตียง-เด็กเล็ก ป้องกัน PM 2.5 ลดค่าใช้จ่ายนอนโรงพยาบาล

เวลา 14.00 น. วันที่ 30 มกราคม ที่รัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย แถลงแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยนพ.ทศพร กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยต่อประชาชน ซึ่งพบว่ามีผู้สูงอายุ และเด็กจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำ มุ้งสู้ฝุ่นเพื่อจะช่วยลดฝุ่น​ ให้ประชาชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศสะอาด​

โดยมีการพัฒนาต้นแบบจาก​อาจารย์ คณะวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่​ โดยเป็นการประยุกต์ใช้หลักการทำห้องปลอดฝุ่น กันฝุ่น กรองฝุ่น​ สำหรับบ้านเรือนที่ไม่สามารถปิดหน้าต่างได้สนิท​ บ้านที่มีกลุ่มเปราะบาง​ ผู้ป่วยติดเตียง​ มีงบประมาณจำกัด​

นพ.ทศพร กล่าวต่อว่า อุปกรณ์ที่จัดทำ ใช้งบประมาณไม่เกิน 3,000 บาท ประชาชนสามารถทำเองได้ คือใช้มุ้งผ้าฝ้าย​ ไส้กรองอากาศและพัดลม โดยจะเป็นการสร้างความดันบวกภายในมุ้ง​ ด้วยการใส่เครื่องกรองอากาศติดกับพัดลมเป่าเข้าไปข้างใน​มุ้ง​ สร้างความดันบวกที่สูงกว่าข้างนอก​ จะผลักดันไม่ให้PM 2.5 เข้าไปในมุ้ง​

ADVERTISMENT

จากการศึกษาใช้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีประสิทธิภาพ ในการลดฝุ่นได้ถึง 36.3 -​ 75 เปอร์เซ็น ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจในคุณภาพ​ ซึ่งหากมีการประดิษฐ์โดยกลไกการผลิตที่ถูกวิธี​ มีปรากฏในเว็บไซต์ของกรมอนามัยและเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข​

ADVERTISMENT

ด้านแพทย์หญิงอัมพร​กล่าวว่า​ เรื่องนี้นายสมศักดิ์​ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข มีความเป็นห่วง​ กลุ่มเปราะบาง และผู้ป่วยติดเตียง ที่มีสิ่งแวดล้อมเปื้อนฝุ่น ไม่สามารถหนีไปที่ไหนได้​ ดังนั้นทางเลือกที่สำคัญคือจะลดอัตราการเจ็บป่วยจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้​ เพราะแต่ละครั้ง การนอนพักรักษาตัว​ที่โรงพยาบาลจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาทต่อครั้ง​

แต่มุ้งกันฝุ่นมีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง​ หอบหืด​ หรือโรคทางเดินหายใจ จึงเป็นนโยบายของรัฐมนตรีที่มุ่งสู่ผลให้ครอบคลุมกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะในพื้นที่เปื้อนฝุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

“จากเดิมมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ใน 33 จังหวัด ที่มีกลุ่มเปราะบางประมาณ 40,000 คน แต่ขณะนี้สถานการณ์ฝุ่น เพิ่มถึง 65 จังหวัด จึงต้องเร่งให้จัดหามุ้งกันฝุ่นเพื่อดูแลประชาชนโดยการขับเคลื่อนของภาครัฐ​“แพทย์หญิงอัมพร กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ทดลองสาธิตเข้าไปภายในมุ้ง และตรวจวัดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ซึ่งพบความแตกต่างว่า อยู่นอกมุ้งมีค่าฝุ่น 20 ไมโครกรัม แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในมุ้งสู้ฝุ่น​ ทำให้ค่าฝุ่นลดลง เหลือ 12 ไมโครกรัม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image