โรม เปิดหลักฐานใหม่ มีคำขอต่อไฟ ‘ชเวก๊กโก-เคเคปาร์ค’ แต่รัฐบาลยังไม่ปฏิเสธ ‘อนุทิน’ รอลิงที่ไหนสั่งตัดไฟนิคมคอลเซ็นเตอร์ ชี้เป้า ‘พล.ต.ต. ต.เต่า’ ขาใหญ่แม่สอด มีเอี่ยว
วันที่ 30 มกราคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยข้อมูลที่ได้รับเพิ่มเติม 2 เรื่อง กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า บริเวณชเวก๊กโก และเคเคปาร์ค ได้มีการตัดไฟแล้ว แต่ได้เห็นหนังสือของหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือจากรัฐบาลเมียนมา เพื่อขอให้ต่อไฟสองจุดดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะต่อหรือไม่ แต่หากมีการต่อสัญญา ก็คือการต่อไฟฟ้าสายตรงเข้าสู่แก๊งค์สแกมเมอร์ ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ได้รับความชัดเจนว่า จะรออะไร ทำไมถึงไม่ปฏิเสธทันที
สำหรับบริเวณพญาตองซู ตนได้รับข้อมูลจากคนในพื้นที่ว่า มีการขยายพื้นที่ใหญ่โตอย่างมาก ซึ่งบริเวณนั้นเป็นหนึ่งจุดสำคัญ ที่มีการขายไฟฟ้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงเชื่อได้ยากว่า จะไม่พึ่งพาสาธารณูปโภคพื้น และไฟฟ้าจากประเทศไทย และมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า อาจกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้น นี่คือโอกาสสำคัญที่ทางไทยต้องใช้ในการจัดการ ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเงียบได้อีกต่อไป
“ผมคาดหวังมาก ว่าท่านอนุทิน จะช่วยทำหน้าที่ของตัวเอง วันนี้ไม่ต้องถามลิงที่ไหน ถ้าท่านมีตา อ่านข่าว เห็นข้อมูลจากหลายส่วน ผมคิดว่าเราสามารถตัดไฟได้เลย ไม่ต้องโยนไปให้ใคร เป็นอำนาจของท่านที่สามารถดำเนินการได้เลย แต่หากท่านยังยืนยันว่าต้องมีคนมาสั่ง ท่านนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก็ช่วยสั่งการท่านอนุทินหน่อย ผมยังไม่เข้าใจว่า ท่านอนุทินจจะรอให้ใครสั่งทำไม แต่ถ้าจะต้องการคนสั่งขนาดนี้ ก็ช่วยสั่งเขาไปหน่อย” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีนายอนุทิน อ้างว่าไม่มีอำนาจในการตัดไฟได้นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ไม่มีเรื่องนี้กำหนดไว้ในกฎหมาย อำนาจต่ำที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ อยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หากการไฟฟ้าไม่ดำเนิน นายอนุทิน ในฐานะเจ้ากระทรวง ก็สามารถดำเนินการได้ เพราะดูแล กฟภ. โดยตรง และจริงๆ แล้ว ก็มีการสั่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ในสมัยของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่แล้ว ตนเลยงง ว่าติดอะไร หากตัดไม่ได้ ก็คงไม่ใช่ว่าไม่มีอำนาจ แต่เพราะผลประโยชน์เยอะใช่หรือไม่ คงต้องถามกันดังๆ นายอนุทิน ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ก็ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
เมื่อถามถึงกรณีที่นายอนุทิน ระบุต้องมีการส่งหนังสือจาก กฟภ.มาก่อน เนื่องจากติดเรื่องคู่สัญญานั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า กฟภ.ต้องรู้จักลูกค้าซึ่งเป็นคู่สัญญาของตัวเอง มิเช่นนั้น จะ กลายเป็นปัญหาฟอกเงินต่อไป ตอนแรกจะบอกว่าไม่รู้ก็ได้ แต่เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลแล้ว ว่าบริษัทดังกล่าวเคยถูกกล่าวหาสมคบค้ายา หรือการไฟฟ้าก็เชื่อคนง่าย หากหน่วยงานเสนอชื่อมาแค่นั้น เพราะมีความเป็นไปได้ ว่าบริษัทนี้อาจเป็นบริษัทนอมินีของใครก็ไม่รู้ ไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย
ทั้งนี้ เรื่องการเสนอตัดไฟ ปรากฏอยู่ในหนังสือสัญญาอยู่แล้ว เพราะถือเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคง อย่างกรณีแม่สาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดชัดเจน ก็ไม่ยอมตัด ขณะที่บริเวณเมียวดี และพญาตองซู ตนขอตั้งคำถามง่ายๆ ว่า การที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบใหญ่ได้ขนาดนี้ มีหรือจะไม่ใช้ไฟของไทย
เมื่อถามถึงกรณีที่เปิดเผย มีนายตำรวจยศพลตำรวจตรี มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในวงการตำรวจดี พลตำรวจตรี ชื่อย่อ ต.เต่า คนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่บริเวณแม่สอด และเป็นถึงเจ้าของเมียวดีคอมเพล็กซ์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นสำคัญ ดังนั้น หาก ผบ.ตร.บอกว่า ไม่ทราบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ตนขอชี้เป้าให้เริ่มต้นตรวจสอบพลตำรวจตรีคนนี้ก่อนได้เลย
เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีนลงพื้นที่ จะทำให้ไทยได้รับผลกระทบหรือไม่นั้น นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ กล่าวว่า การมาในนามของรัฐบาลจีน เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยตรง ทราบว่า เพื่อต้องการกระบวนการสืบสวนสอบสวนไปพร้อมๆ กัน และทางการไทยโดยเฉพาะ ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ส่งคนไปเข้าร่วมกระบวนในครั้งนี้
ดังนั้น จึงมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.การทำงานของรัฐบาลจีน จะเป็นอิสระ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานความมั่นคงของไทย ได้มากน้อยเพียงใด หากทั้ง 2 ฝ่าย เปิดเผยกันได้อย่างเต็ม ต้องมาดูว่าการสั่งการโดยคณะทำงานชุดนี้ จะมีผลต่อรัฐบาลไทยอย่างไร ไม่ใช่ออกมาเป็นรายงานอย่างเดียว แล้วรัฐบาลไทยไม่ตอบรับ ก็ไม่มีประโยชน์
2.ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเมียนมาและไทย หลังจากนี้ จะมีการพูดคุยกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากการเข้ามาของจีน อาจจะกระทบความสัมพันธ์ในอนาคต