กมธ.พัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา ตั้งวงเสวนารุมสับบุหรี่ไฟฟ้า หลังเยาวชนเสพ พุ่ง 10 เท่า

“กมธ.พัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา” ตั้งวงเสวนารุมสับบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามสุขภาพเด็กและประเทศชาติ หนุนยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ หลังเยาวชนเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าพุ่ง 10 เท่า ฉะยับบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามสุขภาพและสังคม บั่นทอนระบบเศรษฐกิจชาติระยะยาว

เมื่อวันที่ ที่ 31 มกราคม ที่รัฐสภา นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา เป็นประธานฯจัดเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง “มาตรการเชิงรุกเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน” ณ ห้องประชุมหมายเลข 406-407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา โดยมีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา ภาควิชาการ ผู้แทนผู้ปกครอง ชุมชน ผู้แทนเด็กและเยาวชนร่วมเสวนา โดยเครือข่ายทุกภาคส่วนแสดงความเห็นเป็นเอกฉันท์สนับสนุนให้มีการยกระดับการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภาวะแห่งชาติ ชี้เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพเด็กและเยาวชนอนาคตของประเทศ นอกจากนี้ยังเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อสังคม และส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมสังคมและระบบเศรษฐกิจในระยะยาว พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง

นางวราภัสร์ กล่าวว่า จากรายงานพบว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ข้อมูลจากปี 2565 ระบุว่าจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มอายุ 15 – 24 ปี เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า ภายในปีเดียวจาก 24,050 คน เป็น 269,533 คน ขณะที่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย (อายุ 9-12 ปี) ถึงร้อยละ 43 เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนหญิงมีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นมากกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเสียงสะท้อนถึงภัยคุกคามที่กำลังทำลายสุขภาพและอนาคตของเยาวชนไทย ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมสังคมและระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

ADVERTISMENT

นางวราภัสร์ กล่าวว่า โดยจากสถานการณ์ที่กล่าวมาคณะกรรมาธิการไม่สามารถนิ่งเฉยต่อปัญหานี้ได้ การเสวนาในวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดมาตรการเชิงรุก ทั้งการสร้างความตระหนักรู้ การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ การเสริมสร้างบทบาท ของครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษา ตลอดจนการพัฒนานโยบายที่คำนึงถึง “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” เป็นสำคัญ สอดคล้องกับ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” และคณะกรรมาธิการฯจะนำข้อเสนอจากเวทีเสวนานี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อหยุดยั้งภัยบุหรี่ไฟฟ้า และสร้างอนาคตที่ปลอดภัยให้กับเยาวชน ซึ่งคณะกรรมาธิการฯจะผลักดันการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนไทยให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศสืบต่อไป

ADVERTISMENT

 

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่าสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในเทศไทยเวลานี้ จากการสำรวจระดับประเทศทำไปเมื่อปีที่ก่อนพบว่า วัยรุ่นอายุ 13-15 ปี เสพบุหรี่ไฟฟ้า 17 % แต่เชื่อว่าปัจจุบันนี้น่าจะสูงประมาณ 20-30 % โดยผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน ส่วนผู้ใหญ่มี 2-3 % อย่างไรก็ตาม สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในทุกอายุวัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ปัจจุบันนี้การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในนักเรียนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งระบาดในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีลงมาแล้วยิ่งน่ากังวล ซึ่งการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าก็เหมือนการเสพติดบุหรี่ม้วนเพราะมีสารนิโคติน แต่ว่าความต่างคือเมื่อเสพติดตั้งแต่อายุน้อยยิ่งไปกระทบสมองที่กำลังพัฒนา ผลร้ายของสารนิโคตินต่อสมองของเด็กมันเยอะกว่าผู้ใหญ่ ยิ่งบุหรี่ไฟฟ้ามีกลิ่นหอม สูบง่าย ไม่ระคายเคือง ไม่มีการเผา ยิ่งเป็นภัยอันตรายต่อเด็ก มีข้อมูลเด็กที่ติดบุหรี่ไฟฟ้ามีปัญหาป่วยซึมเศร้ามากกว่าเด็กที่ไม่สูบ 5 เท่า นำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิต หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ เสียการเรียนหนังสือ

ศ.นพ.ประกิต กล่าวด้วยว่าสำหรับสภาผู้แทนราษฎรไทยที่จะมีการประชุมเพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าฯที่จะเสนอทางเลือกนโยบายกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทย 3 แนวทาง คือ 1.ให้คงกฎหมายห้ามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด 2.เปิดให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่ใช้ความร้อนอย่างถูกกฎหมาย และ 3.เปิดให้บุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดขายได้ถูกกฎหมายนั้น อยากให้ ส.ส.และรัฐบาลได้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ที่มีการเปิดให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าได้ถูกกฎหมาย แต่ได้เกิดปัญหาตามมา คือ การเก็บภาษีรายได้ลดลง แต่มีนักสูบหน้าใหม่ตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 9.5 ล้านคน โดยเป็นวัยรุ่นมากถึง 1 ล้าน และอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 14 % ในปี 2564 เป็น 18.9 % ในปี 2566 ซึ่งฟิลิปปินส์มีรายได้ภาษีที่ลดลงทั้งๆที่จำนวนผู้สูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น

“มันสะท้อนให้เห็นว่ามีการระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมายทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งหาก สส.และรัฐบาลไทยมีการยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อ 2 และข้อ 3 และหากความเสียหายเกิดขึ้นเหมือนฟิลิปปินส์ อยากถามว่าใครจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ ทั้งจากรายได้ภาษีที่ลดลง ทั้งจำนวนนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น”ศ.นพ.ประกิต กล่าว

ทั้งนี้ที่บริเวณหน้าห้องเสวนาได้มีการจัดนิทรรศการการสร้างความตระหนักรู้และการดำเนินมาตรการการป้องกัน และแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) เป็นต้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image