สนธิญา จี้ กกต.ตอบชัด ใช้กม.ไหนรับรอง “ทักษิณ-ณัฐวุฒิ-ธนาธร-พิธา” เป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ.

สนธิญา จี้ กกต.ตอบชัด ใช้กม.ไหนรับรอง “ทักษิณ-ณัฐวุฒิ-ธนาธร-พิธา” เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. ชี้คนที่จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีชื่อในทะเบียนบ้าน 1 ปี  เล็งยื่นผู้ตรวจฯหากตอบไม่เคลียร์

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหว ยื่นหนังสือต่อ กกต.และเลขาธิการ กกต.เพื่อขอความชัดเจนว่าใช้พระราชบัญญัติฉบับใดในการรับรองให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี  นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  หัวหน้าคณะก้าวหน้า และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งนายก และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ได้

นายสนธิญา กล่าวว่า การเป็นผู้ช่วยหาเสียงของบุคคลเหล่านี้ตนเคยร้องไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้งคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนั้นสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่วันนี้จึงมายื่นหนังสือถึง กกต. โดยเฉพาะเลขาธิการ กกต.ที่ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ช่วยหาเสียงของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนสามารถทำได้ ทั้งที่ถ้าไปดูความหมายของคำว่าสิทธิทางการเมือง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน2554 มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ

1.สิทธิในการแสดงความคิดเห็น

ADVERTISMENT

2.สิทธิแสดงออกในด้านการเมือง

3.สิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในวิถีทางระบบประชาธิปไตย ซึ่งบุคคลที่ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงของทั้งสองพรรค เป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้งหมด

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ.การเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา38(3)กำหนดว่าทุกคนที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง  ซึ่งก็เห็นผู้ที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดก็ควรที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวเช่นกัน ถึงอยากถามว่าสิ่งที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงของทั้งสองพรรคมีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดที่ไปช่วยหาเสียงหรือไม่

“ถามว่านายทักษิณมีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในทุกจังหวัดที่ไปหาเสียงหรือครับและขอถาม กกต.และเลขาฯกกต.ว่าใช้บทบัญญัติใดของรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติไว้ในการรับรองว่าบุคคลคนเหล่านี้ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและไม่ได้มีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่นั้นๆเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นผู้ช่วยหาเสียงสมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น

ถ้า กกต.ไปใช้ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ตรงนั้นมันจะกว้างระดับประเทศ แต่ในกรณีใช้พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่นมันใช้ได้แค่จังหวัดนั้นๆ เพราะขนาดจะเป็นผู้ร้องเรื่องการเลือกตั้งยังต้องเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้นๆ ถ้าไม่ได้รับความชัดเจนครั้งนี้ตนก็เตรียมยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน” นายสนธิญา กล่าว

เมื่อถามว่าเลขาธิการ กกต.ออกมาชี้แจงว่า ใช้ระเบียบนี้มาตั้งแต่ปี 2562 แล้ว มายื่นคำร้องจะถูกมองว่าเป็นการร้องไปที่ตัวบุคคลหรือไม่

นายสนธิญา กล่าวว่า ยืนยันส่วนตัวไม่มีเรื่องโกรธเคือง ส่วนที่ระบุว่าใช้มาตั้งแต่ปี 2562นั้น ตนขอถามกลับว่าทำถูกกฎหมายหรือไม่ ขอให้ชี้แจงว่าใช้ พ.ร.บ.หรือกฎหมาย ฉบับไหน ยืนยันตนไม่ได้มาฟ้อง แต่มาร้องขอให้พิจารณาและวินิจฉัย ชี้แจงกับประชาชนทั้งประเทศว่าได้ใช้กฎหมายฉบับใดรับรองการเป็นผู้ช่วยหาเสียงตามที่ออกมาชี้แจง

ทั้งนี้ ตนได้ส่งรายชื่อไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ. ที่ จ.สุราษฎร์ธานี มีค่าจ้าง ค่าเดินทาง แต่ได้สั่งให้ระงับ และไม่ได้เดินทางไป เพราะตนติดขัดในเรื่องดังกล่าวด้วย

ซึ่งก่อนที่จะมีเรื่องนี้ ตนก็ได้มีข้อสงสัยถามในประเด็นคนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว ดังนั้นตนยืนยันไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองหรือมีประเด็นใดประเด็นกับเลขาธิการ กกต.และประธาน กกต.แม้แต่นิดเดียว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image