‘อนุทิน’ สับสวิตช์ตัดไฟ 5 จุดชายแดนไทย-เมียนมาตามมติ สมช.หลังกระทบความมั่นคง ไม่หวั่นโดนคู่สัญญาฟ้อง แจงเสียรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ถึง1% ถือว่าคุ้มเพราะรักษาผลประโยชน์ ปชช.
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ได้กดปุ่มตัดไฟฟ้า 5 จุด ที่พบข้อมูลว่ามีการนำไฟฟ้าไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา ส่งผลกระทบต่อความเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ
โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมเป็นสักขีพยาน
ทั้งนี้การตัดไฟ ทั้ง 5 จุดเป็นระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล ซึ่งทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอปุ่มจ่ายไฟจากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที
โดยทยอยตัดทีละจุด เริ่มที่จุดแรกในเวลา 09.00 น. กฟภ.ได้เริ่มตัดไฟ เริ่มจากจุด 1.จุดซื้อขายบริเวณบ้านพระเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองซู รัฐมอญ 2.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 3.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 4.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2-เมืองเมียวดี และจุดที่ 5 จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง-เมืองเมียวดี ซึ่งจุดสุดท้ายนายอนุทินได้เดินทางมากดสวิตช์ปิดกระแสไฟฟ้าด้วยตัวเองในเวลา 09.34 น. รวมการตัดกระแสไฟฟ้าทั้งห้าจุด รวม 20.37 เมกะวัตต์
นายอนุทินกล่าวภายหลังตัดกระแสไฟว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำการได้ทำการกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้ลงนามและมีหนังสือสั่งการมายัง กฟภ.ให้ดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าตามกำหนดเวลา 09.00 น. ซึ่งเราเป็นผู้ปฏิบัติ เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตั้งคำถามว่าทำไมกระทรวงมหาดไทยไม่ตัดกระแสไฟฟ้า ก็ต้องบอกว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจ แต่เมื่อ สมช.มีการประชุมและมีมติออกหนังสือคำสั่งออกมา เราก็ดำเนินการทันที ตามที่ตนและปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยบอกไว้ว่าบทบาทหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เท่ากับว่าตอนนี้กระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งจากไทยไปประเทศเมียนมาได้ยุติลงแล้ว
นายอนุทินกล่าวว่า การอนุญาตให้ขายไฟฟ้าไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นการจะตัดกระแสไฟฟ้าก็ควรรายงานไปยังคณะรัฐมนตรี แม้ว่าเรื่องนี้จะดำเนินการไปแล้วตามมติ สมช. ก็ยังต้องเสนอแจ้งให้นายกฯรับทราบ ส่วนจะมีการเสนอให้ ครม.รับทราบหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่าน เพราะเรื่องนี้ยังมีมติที่ต่อเนื่องเพิ่มอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือให้กระทรวงมหาดไทยและการไฟฟ้าศึกษามติ ครม. ที่อนุญาตให้ขายไฟฟ้า เพื่อทบทวนและปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ซึ่งในอดีตยังไม่มี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเสนอให้ ครม.พิจารณาพิจารณา
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เคยมีมติ ครม.ให้สามารถตัดไฟไปก่อนหน้านี้แล้ว นายอนุทินกล่าวว่า นายเศรษฐาไม่ได้สั่งให้ระงับ แต่สั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามประสานงานและสืบสวนสอบสวน ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย จากการนำไฟฟ้า ที่เราขายไปยังเมียนมาหรือเปล่า ถ้ามีขอให้ทำการตัด ซึ่งในส่วนของ กฟภ. เมื่อได้มติครมนั้น ก็ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่หากทางการเมียนมาติดต่อประสานขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ วันนี้รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่
เมื่อถามว่ารัฐบาลเมียนมาได้ทำการร้องขอหรือไม่เพราะมีชุมชนได้รับผลกระทบ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ที่ประสานงานและหารือกับเมียนมา
เมื่อถามว่าเกรงจะถูกคู่สัญญาฟ้องหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่าว่า กฟภ.ทำตามสัญญา เมื่อพบว่า มีผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งทางด้านพลังงานและความมั่นคงของชาติ ก็สามารถหยุดการจ่ายไฟได้ตามเงื่อนไขสัญญา ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้
เมื่อถามว่านายภูมิธรรมอ้างว่า กฟภ.มีอำนาจในการตัดไฟเองได้เลยนั้น นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับตนมองว่าไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การโยนกันไปโยนกันมา กระทรวงมหาดไทยไม่ได้ไปขอให้นายกฯและรองนายกฯสั่งการ แต่เป็นไปตามขั้นตอน กฟภ.มีหน้าที่ในการจ่ายไฟแต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการประเมินว่ามีผลต่อความมั่นคงของประเทศหรือความมั่นคงทางพลังงานหรือไม่
ซึ่งการตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ตัดไฟฟ้าไปทั้งหมด 20 เมกะวัตต์ รายได้ประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้การขายไฟทั้งหมดรวม 600,000 ล้านบาทต่อปี ในส่วนนี้จึงไม่ถึง 1% แต่แค่นี้ถือว่าคุ้ม เพราะรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และเราไม่ได้ล่าช้า
ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีการขายไฟฟ้าให้กับประเทศกัมพูชา และมั่นใจว่าจะใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นเมื่อไหร่ให้ถาม สมช.
เมื่อถามว่าการตัดกระแสไฟฟ้าจะช่วยสกัดกั้นการก่ออาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มากน้อยแค่ไหน นายอนุทินปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ระบุเพียงว่า เป็นการทำตามคำสั่ง เราซึ่งทราบว่าทางเมียนมารับซื้อไฟฟ้าจากลาวที่จีนไปตั้งบริษัท ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องไปดูแลจัดการกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเราที่จะมากล่าวหาได้ว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก่อให้เกิดสิ่งผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่าจะรับมือกับมิติทางการเมืองอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นเรื่องความมั่นคงและการรับข้อสั่งการจากรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายนโยบาย ไม่ใช่การเมืองหรือประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนยืนยันเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เป็นประเด็น ซึ่งตนบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข้อสั่งการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กฟภ. จะดำเนินการทันที