ปปช. เปิดสถิติร้องเรียนทุจริต 7 จว.ใต้ ตรังแชมป์ ศธ.โดนเยอะสุด ชี้แต่ละปีทำรัฐสูญงบประมาณอื้อ
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมเรือรัษฎา จ.ตรัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำโดย นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะ จัดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ โดยมีการเสวนาความเสี่ยงในการจัดจ้างต่อเติมงานก่อสร้างหอศิลป์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ มีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายสาโรจน์ นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผอ.สำนักงาน ป.ป.ช.ตรัง นายมงคล ศรีสว่าง ผอ.สำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ป.ป.ช.
โดยนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต สถิติข้อมูลเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ของภาค 9 มีอย่างไร มีบุคลากรเท่าไหร่ มีจำนวนเรื่องตรวจสอบไต่สวนเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีเท่าไหร่ มีสถิติข้อมูลลักษณะเรื่องร้องเรียนหน่วยงานใดมาก แต่อย่างที่บอกถูกร้องเรียนมาก อาจไม่ได้ทำผิดมาก อาจมีประเด็นเป็นที่สนใจของประชาชน มาแจ้งเบาะแส มีการกระทำที่ถูกกล่าวหาในลักษณะใด เรียงตามลำดับ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อมูลสถิติ แต่ในภาพใหญ่ของ ป.ป.ช. มีทุกภาคครบถ้วน เพราะเป็นตัวเลขสำคัญที่ทำให้เราจัดลำดับความสำคัญในการทำเรื่องตรวจสอบคดีทุจริต
“ประชาชนตั้งคำถามมาตลอดว่า ทำงานช้า แต่ละเรื่องใช้เวลา 3-5 ปี ตามความยากง่าย นี่เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งที่สำนักงาน ป.ป.ช.ต้องรับทุกเรื่อง สะสมมากเข้า ก็ช้าทุกเรื่อง ถ้าเราทำคดีสำคัญ เราจะทำให้เร็ว ปริมาณต้องอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพราะฉะนั้นช่วงหลัง จะรับคดีสำคัญ และเร่งให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนคดีอื่น ๆ ก็ให้หน่วยงานอื่นทำไป นี่เป็นแนวนโยบายหลักของสำนักงาน ป.ป.ช.” นายสาโรจน์ กล่าว
ป.ป.ช.รับทำคดีล่าช้า เพราะบางเรื่องใช้เวลานานคดียุ่งยาก
เมื่อถามว่า ระยะเวลาในการทำคดี มีนโยบายอย่างไร และอะไรเป็นอุปสรรคของระยะเวลา นายสาโรจน์ กล่าวว่า กรอบเวลาตามกฎหมายเขียนไว้ชัด ให้ดำเนินการไต่สวนแต่ละเรื่องให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ถ้ามีเหตุผลความจำเป็นขยายได้อีก 1 ปี เป็น 3 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องเราทำ 3 ปี โดยการไต่สวนหลักการสำคัญคือ การหาพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนจะช้าหรือเร็ว ปัญหาประการแรกคือ ปริมาณงาน เราพยายามแก้ให้ลดลง ส่วนที่มีผลโดยตรงคือ ความยุ่งยากของคดี แต่ละคดีไม่เท่ากัน บางคดีพยานหลักฐานชัดเจน ทำให้เสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว บางคดีซับซ้อน ไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน หรือพยานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เวลา ในทางกฎหมายเหมือน ป.ป.ช.อำนาจเยอะ จะสั่งให้ใครส่งอะไร ให้ถ้อยคำอย่างไรได้หมด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะดำเนินการอย่างนั้นได้ทุกกรณี ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราก็ต้องดำเนินคดีเขาอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่มาตรการเด็ดขาดที่จะจัดการกับพยานหลักฐานนั้น ๆ ได้ นี่เป็นข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่ง
“ระยะเวลา วิธีการอะไรต่าง ๆ เราสามารถดำเนินการได้อย่างไร ในส่วนของระยะเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณของคดี ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคดีนั้น นี่เป็นตัวแปรสำคัญ กรอบเวลาไม่จำเป็นต้องเต็มตามกรอบ ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนสมบูรณ์ของพยานหลักฐาน ถ้าครบถ้วนสมบูรณ์ เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยได้” นายสาโรจน์ กล่าว
ด้านนายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 กล่าวว่า พื้นที่ ป.ป.ช.ภาค 9 มี 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยในพื้นที่ภาคใต้มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทั้งหมด 41 คน ในปีงบประมาณ 68 มีเรื่องตรวจสอบเบื้องต้น 388 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 43 เรื่อง คงเหลือ 345 เรื่อง อย่างไรก็ดี จากสถิติเมื่อเข้าชั้นไต่สวนแล้วใน 100% มีโอกาสถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูล 70%
นายทวิชาติ กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดในภาค 9 คือ เรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รองลงมาคือ เรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ขณะที่หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดในภาค 9 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด อันดับ 1 คือ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 64 เรื่อง รองลงมาคือ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มากที่สุดคือ กรมการปกครอง กรมที่ดิน และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด ถูกร้องเรียนมา 10 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มากที่สุดคือ กรมชลประทาน หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 32 เรื่อง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 31 เรื่อง มากที่สุดคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 20 เรื่อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 27 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 23 เรื่อง และหน่วยงานทหาร 10 เรื่อง
ตรังแชมป์ร้องเรียนคดีทุจริตมากสุดในภาค9
นายทวิชาติ กล่าวว่า จังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุดในพื้นที่ภาค 9 ได้แก่ ตรัง 61 เรื่อง สงขลา 45 เรื่อง นราธิวาส 46 เรื่อง ปัตตานี 44 เรื่อง พัทลุง 40 เรื่อง และสตูล 22 เรื่อง สำหรับ จ.ตรังที่มีการร้องเรียนมากที่สุด อาจจะถือได้ว่าประชาชนในจังหวัดมีความตื่นตัว เวลาพบเห็นสิ่งผิดปกติจะร้องเรียน ซึ่งเรารับไว้ตรวจสอบเบื้องอยู่
ขณะที่นายมงคล ศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงการบุกรุกที่ดินในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ว่า ภารกิจหลักของ ป.ป.ช.คือ การเข้าไปรับฟังปัญหาของเจ้าหน้าที่ที่เจอกลุ่มผู้มีอิทธิพล หรือบางครั้งมีเจ้าหน้าที่เข้าไปรู้เห็น ส่วนใหญ่ในพื้นที่เกาะกระดานจะเป็นเรื่องการบุกรุกพื้นที่ ขณะนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลแล้ว และส่งคืนกลับให้รัฐแล้ว จำนวน 5 แปลง เหลืออีก 1 แปลงที่อยู่ระหว่างการไต่สวน โดยพื้นที่ที่ส่งคืนแล้ว ป.ป.ช.ยังต้องไปติดตาม อย่างไรก็ตาม เรื่องการบุกรุก มีตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับล่างไปจนถึงระดับสูงมีส่วนเข้าไปสั่งการหรือไปสั่งให้มีนอมินีเข้าไปถือครองที่ดิน รวมไปถึงท้องถิ่นปล่อยปละละเลย รับส่วย ไปจนถึงเข้าไปในกลุ่มของขบวนร่วมออกโฉนดที่ดิน
“หากเจ้าหน้าที่เจอกลุ่มผู้มีอิทธิพลจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้ให้แจ้งเข้ามาที่ ป.ป.ช. จะกระซิบหรือตะโกนก็ได้ หาก ป.ป.ช.ได้รับร้องเรียนแล้วยังไม่ดำเนินการก็จะถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
นายมงคล กล่าวว่า ใน จ.ตรังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ส่วนใหญ่แล้วยังมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ทั่วประเทศมีเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับคดีทรัพยากรธรรมชาติเข้ามาถึง 1,500 กว่าคดี มีมูลแล้ว 400 คดี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 10 ของคดีทั้งหมด หนึ่งในนั้นมีที่ จ.ตรังด้วย โดยมีคดีที่ ป.ป.ช.กำลังไต่สวนอยู่ 100 เรื่อง
ป.ป.ช.ตรังชี้ประสบปัญหาโครงการร้าง 23 แห่ง ทำเปลืองงบถึง 1 พันล.
ขณะที่นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง กล่าวถึงภาพรวมการทุจริตใน จ.ตรัง ตอนหนึ่งว่า ปัญหาไม่ใช่การทิ้งงาน หรือทิ้งร้าง แต่ที่เป็นปัญหาก็คือการทิ้งร้าง เพราะเสียหายต่องบประมาณแผ่นดิน ทิ้งร้าง โดยภาพรวมทั้งหมดที่มีภาพรวมอยู่คือ 23 โครงการ งบประมาณ 2,095 ล้านบาท ถือว่าเป็นจำนวนมาก สำนักงาน ป.ป.ช.ตรัง ได้ลงพื้นที่กับหน่วยงานเกี่ยวข้องว่า ทำอย่างไรให้โครงการเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ให้ได้ และติดตามต่อเนื่องโดยตลอด มีข้อมูลเหมือนกันว่า มีโครงการไหนบ้าง และจะดำเนินการอย่างไร และหน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง เราลงพื้นที่ติดตาม จนใช้งานได้
“ยกตัวอย่างกรณีทิ้งงาน สนามบินใน จ.ตรัง เป็นที่สนใจมาก มีข้อมูลว่าผู้รับจ้าง ขาดสภาพคล่อง และขณะนั้นผู้ว่าจ้างได้ให้ไปกู้สถาบันการเงินต่าง ๆ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จนผู้รับจ้างกลายเป็นผู้ทิ้งงาน เหลือเพียง 34 ล้านบาท จากงบประมาณเต็ม 200 กว่าล้านบาท” นายบัณฑิต กล่าว
นายบัณฑิต กล่าวว่า แล้วเราทำอย่างไรต่อ ตอนนี้คืออยู่ในขั้นตอนการประเมินความเสียหาย ประเมินราคา เพื่อหาผู้รับจ้าง ส่วนงานก่อสร้างทิ้งร้าง 23 โครงการ มูลค่าความเสียหายกว่า 2 พันกว่าล้านบาท เราได้ติดตามอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เมื่อถามว่า ป.ป.ช.มีบทบาทอย่างไร ในเรื่องของปัญหาการทิ้งงาน หรือปล่อยทิ้งร้าง นายบัณฑิต กล่าวว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคดี เว้นแต่ว่าถ้าปรากฎว่าเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตอะไรก็ตาม เราจะเข้าไป แต่ตอนนี้ยังไม่ปรากฏ
ลั่นให้ความสำคัญผู้รับเหมาทิ้งงานสนามบินตรัง
เมื่อถามว่า หลายโครงการที่มีการทิ้งงาน ป.ป.ช.ได้ไปตรวจสอบการประมูลกันอย่างไร นายบัณฑิต กล่าวว่า เรื่องนี้เราไปดูต้นเหตุทั้งหมด พอเป็นปัญหา เราไปดูหมดว่าเหตุใดถึงทิ้งงาน ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ยกตัวอย่าง กรณีสนามบินถูกเอกชนทิ้งงานนั้น นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี) ได้แจ้งหน่วยงานรับผิดชอบว่า ให้สร้างแล้วเสร็จภายใน พ.ย. 2568 ต้องเรียนว่า ประชาชนในตรัง และจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก โดยท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว
เมื่อถามว่า ปัญหาเหล่านี้ ป.ป.ช.ตรัง และคนในพื้นที่มีความตื่นตัวอย่างไรบ้าง นายบัณฑิต กล่าวว่า ตรังเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีชมรมบทบาทสำคัญ และมีสื่อในพื้นที่ให้ความสำคัญในเรื่องปัญหาทุจริตในพื้นที่ เรามีชมรม “ตรังต้านโกง” ทำงานควบคู่กับ ป.ป.ช.ตรัง เราจะลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีมีปัญหา มีการร้องเรียนในรูปแบบใดก็แล้วแต่ ถ้าอยู่ในอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช.เราก็ลง ถ้าอยู่ลักษณะที่ว่า เราระงับยับยั้งได้ เราก็ยับยั้ง แต่ไม่ถึงขนาดนั้น เราเฝ้าระวัง ถ้าโครงการไหนใช้งบมาก แม้ไม่ปรากฏทุจริต เราก็ลงไปตรวจสอบ
ส่วนประเด็นความเสี่ยงการจัดจ้างต่อเติมงานก่อสร้างหอศิลป์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯคืออะไร นายบัณฑิต กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การทิ้งงาน และไม่ใช่ทิ้งร้าง โดยโครงการนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 2559 ใช้งบประมาณไป 4 ครั้ง และตอนนี้ยังไม่เสร็จ งบประมาณมีจำนวนมาก ใช้งบรวมกันไม่น้อยกว่า 390 ล้านบาท โครงการนี้เริ่มสร้างปี 2559 โดยจังหวัดตรังในขณะนั้น ใช้งบกลุ่มจังหวัด จำนวน 39 ล้านบาทเศษ ต่อมามีเงื่อนไขว่าจะมอบให้เทศบาลนครตรังดูแล โดยในปี 2560 เทศบาลนครตรัง ได้ตั้งจ่ายงบใหม่เพื่อใช้ในโครงการนี้ 61 ล้านบาท หลังจากนั้นในปี 2562 จะดำเนินการสร้าง เพื่อโอนให้เทศบาลนครตรัง แต่การก่อสร้างโครงสร้างต่าง ๆ แล้วก็ยังไม่เสร็จ
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า เมื่อทิ้งระยะมานาน จนกระทั่ง ป.ป.ช.ไปลงติดตามเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็มีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ โดยใช้ค่าจ้าง 3.5 ล้านบาท ปรากฏว่า ดำเนินการตามสัญญาจ้างเรียบร้อย ณ วันนี้ และมีการตรวจรับงานด้าน ที่ปรึกษา ได้ปรึกษาเนื้อหาแนวทางแล้ว จนเคาะราคากลางก่อสร้าง ปรากฏว่าการกำหนดราคากลางเป็นส่วนหนึ่งคือ 287 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีตามกฎหมายท้องถิ่น หากจะใช้งบเกิน 200 ล้านบาท ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าฯตรัง เทศบาลตรังจึงมีหนังสือถึงผู้ว่าฯอนุมัติ แต่ผู้ว่าฯตรังเห็นว่ายังไม่ครบถ้วน จึงขอเหตุผลเพิ่มเติม เช่น โครงการใหญ่ขนาดนี้ คุ้มค่าหรือไม่ การแสดงศิลปวัฒนธรรมดำเนินการหรือไม่ การบริหารจัดการอาคารนี้ หลังจากนี้บริหารจัดการต่อเนื่องหรือไม่ วลีนี้ตนได้ประสานกับ สตง. เรื่องความคุ้มค่า เราต้องร่วมมือติดตามเรื่องนี้ จนทุกวันนี้เทศบาลนครตรัง มีหนังสือถึงผู้ว่าฯ ว่าเสนอไปแล้ว แต่ยังไม่อนุมัติ
“ทำไมเรื่องนี้เราให้ความสำคัญ หลังจากนี้เมื่อมีการบริหารจัดการโครงสร้าง โครงการขนาดใหญ่ นอกจากจะดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ เกรงว่าจะทิ้งร้าง เพราะในตรัง 23 โครงการทิ้งร้างไป 2 พันกว่าล้านบาท แล้วโครงการนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ จะทิ้งร้างอีกหรือไม่ เราจะติดตามต่อเนื่องแน่นอน ไม่อย่างนั้นสภาพปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น ผมจึงเสนอว่า กรณีอย่างนี้ ก่อนสร้างโครงการ ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ก่อน งบประมาณขนาดนี้ ถ้าศึกษาความเป็นไปได้ ความเสี่ยง” นายบัณฑิต กล่าว
เลขาป.ป.ช.เล่าเฝ้าระวังป้องปรามการทิ้งงานทำรัฐสูญงบฯมหาศาล
ขณะที่นายสาโรจน์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการป้องกัน ป้องปราม การเฝ้าระวัง ยกตัวอย่างที่ จ.ตรัง นี่คือจังหวัดเดียว 2 พันกว่าล้านบาท เราต้องคำนวณต่อไป 76 คูณ 2 พันกว่าล้านบาท นี่คือตัวเลขเป็นอย่างน้อย นี่คือภาพใหญ่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญ สำคัญกว่าการปราบปรามการทุจริตด้วยซ้ำไป ลักษณะโครงการทิ้งร้าง โครงการที่ล้มเหลวแต่ต้น อย่างที่ว่า ทุกโครงการต้องมีที่มาที่ไป มีการสำรวจ บริหารความเสี่ยง เว้นแต่ว่าเป็นโครงการที่ทำตามนโยบายในช่วงหนึ่ง ช่วงต่อมาอาจเปลี่ยนไป และไม่สามารถไปต่อได้
“ทั้งนี้ สิ่งที่ ป.ป.ช. ทำทุกวันนี้คือการเฝ้าระวัง แต่ ป.ป.ช. หน่วยเดียวไม่สามารถทำได้ครอบคลุมทั้งหมด เราต้องมีหน่วยงานที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น สตง. หรือสื่อ สำคัญอย่างยิ่งเลย” นายสาโรจน์ กล่าว