คู่กรณี อัดคลิปขอโทษ ส.ส.แบงค์ ศุภณัฐ กล่าวหาหนีทหาร รวม 4 ประเด็น
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี ส.ส.แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท กับคู่กรณีที่ได้กล่าวหาว่าหนีทหาร โดยเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน และศาลประทับรับฟ้องเพราะคดีมีมูล
ล่าสุด ส.ส.แบงค์ ได้โพสต์ผ่านแอพพ์เอ็กซ์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ Suphanat Minchaiynunt เป็นคลิปขอโทษและหนังสือของ (ดูคลิป) คู่กรณี เพื่อให้ถอนฟ้อง โดยยอมรับว่า ข้อมูลที่นำมากล่าวโจมตี ส.ส.แบงค์ เป็นข้อมูลเท็จ รวม 4 ประเด็น ดังนี้
“เท็จที่ 1.กรณี คู่กรณี อ่านคำพิพากษาคาดเลื่อน และนำมากล่าวหา ส.ส.แบงค์ ว่าโดนศาลตัดสินว่าหนีทหาร
ความจริง = คู่กรณี ยอมรับแล้วว่า ส.ส.แบงค์ “ไม่ได้หนีทหาร” ตามที่เคยกล่าวหา ซึ่งผมถือว่า ตัวจำเลยได้ทำการบิดเบือนคำพิพากษา เพราะคำพิพากษาที่นำมาอ้าง เป็นกรณีที่ตัว ผมไม่ได้ไปรับหมายเรียกที่สำนักงานเขต ในปี 2555 เพราะเรียนอยู่ต่างประเทศ เท่านั้น แต่ไม่ใช่การขัดขืนการตรวจคัดเลือก (หนีทหาร) ซึ่งการที่ใครก็ตาม ไม่ได้ไปรับหมายเรียก ย่อมไม่สามารถเข้าเกณฑ์ทหารได้ และในปี 2556 ผมไปเกณฑ์ทหารตามปกติ
เท็จที่ 2.กรณี คู่กรณี ให้ข้อมูลบิดเบือนว่า ส.ส.แบงค์ไม่มีสิทธิจับใบดำใบแดง เพื่อทำให้สังคมเชื่อมโยงไปต่อว่า ถ้าไม่มีสิทธิจับใบดำใบแดง ก็ต้องทุจริตตรวจคัดเลือก
ความจริง = คู่กรณี ยอมรับว่า ข้อมูลเท็จ เพราะในปี 2556 ที่ ส.ส.แบงค์ได้เดินทางไปตรวจคัดเลือก ส.ส.แบงค์ยังคงมีสิทธิจับใบดำใบแดงตามปกติ และไม่ได้ทำการทุจริตการเกณฑ์ทหารแต่อย่างใด
เท็จที่ 3.กรณี คู่กรณี ได้โพสต์ใบ สด.43 ของผู้อื่นที่เขียนว่า เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด และใช้ #ศุภณัฐมีนชัยนันท์ เพื่อเชื่อมโยงให้ประชาชนเข้าใจ ว่าเป็นของ ส.ส.แบงค์
ความจริง = คู่กรณี ยืนยันแล้วว่า เอกสารดังกล่าว “ไม่ใช่ของส.ส.แบงค์” และยอมรับว่า เป็นการโพสต์ “เพื่อใส่ความ” ส.ส.แบงค์ให้เสียหาย
เท็จที่ 4.กรณี คู่กรณี ได้มีการแถลงข่าวร่วมกับ “นายเค สามถุย” และ “นายอี้ แทนคุณ” หน้าสำนักงาน ปปช. โดยได้บิดเบือนคำพิพากษาว่า ถูกศาลตัดสินจำคุก
ความจริง = คู่กรณี ยอมรับผิดว่า สิ่งที่ได้แถลงข่าวไปนั้น “ไม่เป็นความจริง” โดย ส.ส.แบงค์ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุกแต่อย่างใด
ทั้งนี้ #ทุกคนมีสิทธิ์สามารถเผยแพร่ คลิป และหนังสือขอโทษ ได้ทุกช่องทาง
และ คู่กรณี ได้ขอให้ทุกท่านลบคลิปต่างๆ ที่ตัวเขาเคยให้ร้ายผม จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยครับ
ทั้งนี้ ผมอยากให้เคสนี้เป็น อุทาหรณ์ กับสังคม โดยเฉพาะ ผู้ติดตาม ตัว คู่กรณี หรือเพจแนวร่วมต่างๆ ว่า การที่เราจะเชื่ออะไรใคร เราควรดูด้วยว่า ผู้พูดมีความน่าเชื่อถือ มากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะกับเพจที่ให้ข้อมูลเท็จกับสังคม และไม่เคยออกมารับผิดชอบอะไร
เราอย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ จะพิมพ์อะไรควรมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจ คิดไตร่ตรองก่อนจะโพสต์ อย่าโดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ
และขอเรียนให้ทราบว่า การนำข้อมูลเท็จมา “กล่าวหา” คนอื่นเป็นสิ่งที่ “ผิดกฎหมาย” ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม และไม่ใช่ทุกคนจะใจดีเสมอไปนะครับ
ครั้งนี้ผมอโหสิกรรมให้ครับ แต่ไม่ควรมีครั้งหน้า ขอเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อครับ”