“สุดารัตน์” ดักคอ รบ.ให้ซักฟอก 1 วัน สะท้อนความกลัวหนีการตรวจสอบ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อตัวนายกฯ อุ๊งอิ๊งเอง ถ้านายกฯ มั่นใจว่าตั้งใจทำ “การเมืองสุจริต” เชื่อถ้านายกฯ ตอบข้อซักถามได้ดี กลับจะทำให้รัฐบาลได้มีโอกาสแสดงผลงาน เป็นผลดีต่อนายกฯ และรัฐบาลเอง พร้อมย้ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการวัด “ศรัทธาประชาชน” มากกว่าจำนวนมือในสภา
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์กรณีรัฐบาลจะให้เวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียง 1 วัน โดยมีความเห็นว่า ถ้ารัฐบาลทำเช่นนั้นจะแสดงให้เห็นถึง ความกลัวและความพยายามหนีการตรวจสอบ ของนายกฯและรัฐบาล ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวนายกฯอุ๊งอิ๊งเอง ถ้านายกฯมั่นใจว่าตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน และทำการเมืองสุจริต อย่ากลัวการอภิปราย และถ้านายกฯตอบข้อซักถามได้ดี กลับจะทำให้รัฐบาลได้มีโอกาสแสดงผลงาน เป็นผลดีต่อนายกฯและรัฐบาลเอง
พร้อมให้การรับรองว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ไม่ใช่เกมการเมืองในสภา จะไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีในสิ่งที่เป็นเท็จ แต่จะตรวจสอบจากข้อมูลข้อเท็จจริงที่ปรากฏใน 3 กรอบคือ
1.ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ผิดพลาด ทำให้เศรษฐกิจทรุดตัว ประชาชนหมดความหวัง และไม่มีอนาคต
2.การทุจริตที่เกิดขึ้นจริง โดยฝ่ายค้านมีข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ
3.การทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งหลายนโยบายที่อ้างว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่มีนัยยะซ่อนเร้นผลประโยชน์ส่วนตัวมหาศาลและสร้างความเสียหายระยะยาวต่อประเทศ
“การอภิปรายครั้งนี้เป็นแค่พิธีกรรมทางการเมือง แต่เราต้องนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาตรวจสอบการทุจริตทั้งในเชิงงบประมาณ เชิงอำนาจ และการทุจริตเชิงนโยบายจริงหรือไม่ และที่สำคัญ รัฐบาลจะตอบประชาชนได้หรือไม่ว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งกำลังจะนำพาประเทศเดินไปทิศทางไหน อนาคตของประเทศเป็นอย่างไร ทำไมเศรษฐกิจถึงย่ำแย่ลงทุกวัน ทำไมคอร์รัปชั่นจึงสูงต่อเนื่อง นายกฯจึงควรจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน”
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องเรื่องเวลาการอภิปรายว่า ฝ่ายค้านขอไว้ 5 วัน แต่หากรัฐบาลต้องการลดเวลาลง อาจถูกมองว่าพยายามหนีการตรวจสอบ ดังนั้นถ้ารัฐบาลมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ควรเปิดพื้นที่ให้มีการอภิปรายอย่างเต็มที่ ประชาธิปไตยต้องโปร่งใส การเมืองต้องสุจริต นายกฯจึงต้องพร้อมตอบทุกข้อกล่าวหา
ซึ่งผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่ได้วัดแค่เสียงโหวตในสภา แต่ “ศรัทธาของประชาชน” สำคัญกว่า จะเป็นการตัดสินของประชาชนทั่วประเทศ ว่ารัฐบาลชุดนี้ยังควรได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปหรือไม่