‘นายกฯอิ๊งค์’ แนะ ‘เท้ง’ หยุดด้อยด่าปมถูกครอบงำ ย้ำไม่แปลกฟัง ‘ทักษิณ’ หากความคิดเป็นประโยชน์กับประเทศ ลั่นมีภาวะผู้นำไม่ต้องรอขอ แจงการเมืองดีลกันทุกที่ ชี้ พท.ทำตามดีลยกมือให้แคนดิเดตฝ่ายค้านตลอด
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กับคณะ จำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอ
จากนั้นเวลา 21.16 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ขึ้นชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาสองวันของการอภิปราย เป็นสองวันที่ตนได้ยินชื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต และคิดว่าท่านได้ก็คงได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ อะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน อะไรที่เรากระทบกระทั่งกันบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และคิดว่าทำงานร่วมกันต่อไปได้ ฝ่ายท่านได้ย้ำในเรื่องของภาวะผู้นำและในเรื่องของการถูกครอบงำอยู่หลายครั้ง คนที่ย้ำเรื่องเดิมๆ อยู่หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองขาดหรือไม่ แต่ตนคิดว่าเราไม่ต้องคิดแบบนั้น ที่จริงไม่ใช่แค่ตนที่ถูกกล่าวหาเรื่องการถูกครอบงำ ท่านเองก็ถูกกล่าวหาว่าถูกครอบงำเช่นกัน ต่างกันตรงที่ตนถูกกล่าวหาถูกครอบงำโดยคุณพ่อ แต่ท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ ซึ่งตนเลยไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ส่วนตัวเคารพและให้เกียรติท่านผู้นำฝ่ายค้านและไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ไม่เคยพูดออกจากปากว่าสงสัยในภาวะผู้นำของท่าน เราอายุใกล้ๆ กัน เราควรมีความเข้าใจ จริงๆ ในเรื่องของเส้นทางการเมืองเราก็มีความคล้ายกันอยู่บ้าง กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้เราก็เจอชะตากรรมและการถูกกระทำของพรรคการเมือง เพราะถ้าพรรคของตนไม่ถูกกระทำทางการเมือง ในวันนี้เราอาจอาจจะยังมีนายกฯ ที่ชื่อนายทักษิณก็ได้ และพรรคของท่านก็อาจจะมีหัวหน้าพรรคที่ชื่อธนาธรก็ได้ ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ชะตากรรมทางการเมืองมาเป็นแบบนี้ ทั้งตนและตัวท่านก็คงจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดการที่ด้อยค่าคนอื่นแบบนี้ ตนคิดว่าก็อย่าทำเลย
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า การที่ตนเป็นลูกของนายทักษิณ แน่นอนว่าถูกวิจารณ์ถูกปรามาสตั้งแต่ยังเป็นนิสิตนักศึกษา และจนถึงวันนี้ที่ตนเป็นนายกฯ คนที่ถูกกล่าวถึงก็คือคุณพ่อก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตนก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายเช่นกันที่ตนจะรับฟัง หรือนำข้อแนะนำของนายทักษิณมาใช้หรือพิจารณา เพราะท่านเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และถูกยอมรับในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ถ้าความคิดของท่านเป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน ตนมั่นใจว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดี และก็มีนักการเมืองอีกหลายท่านที่โดนในเรื่องของการตัดสิทธิจากการยุบพรรคการเมือง ตัดสินทางการเมืองมากน้อยต่างกัน ก็ยังเห็นว่าทุกๆ คนยังเดินหน้าทำงานในเรื่องการเมืองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย การเดินหาเสียงพบพี่น้องประชาชนก็ยังทำได้ ทำไมถึงเป็นเรื่องของนายทักษิณคนเดียวที่เป็นประเด็น หรือนายทักษิณโดนตัดสิทธิ์ยกกำลังสอง ก็ไม่แน่ใจ
น.ส.แพทองธารกล่าวต่อว่า ในประเด็นเรื่องของอุยกูร์ ตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายของผู้ลี้ภัย เมื่อมีการลักลอบเข้าเมืองมาก็ถูกดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยที่จะมีการยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่ว่าในการที่เราจะขังเขาไว้เป็น 10 ปี ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศแม่เขาขอรับตัวและมาทวงถาม โดยที่ประเทศที่สามก็ไม่ได้มีการทวงหรือมาขออย่างเป็นทางการ เราก็ติดต่อกับจีนเรียกร้อง และเมกชัวร์ในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเขาก็ทำหนังสือเป็นทางการออกมา ถือเป็นสัญญาต่อสังคมโลก เราจึงต้องรีบส่งกลับไป อย่างที่ทราบว่าคณะรองนายกฯ ภูมิธรรมเพิ่งเดินทางไปติดตามมาห้าวันที่แล้ว และทุกคนปลอดภัยที่บ้าน ตนเชื่อว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ที่สำคัญดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ท่านก็ถามว่าชาวอุยกูร์สมัครใจหรือไม่ ท่านต่อว่ารัฐบาลว่าไม่ทำตามใจชาวอุยกูร์ ตนรับฟังแต่สิ่งที่ที่ตนต้องคิดเป็นอันดับแรก คือคนไทยต้องการอะไร แล้วอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศไทย นี่คือสิ่งที่ตนคิดและทีมทั้งหมดในคณะรัฐมนตรีต้องปรึกษากันและคิดอย่างนี้เช่นกัน การที่ส่งกลับไปอะไรคือประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย และการที่เขากลับไปแล้วปลอดภัยเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือไม่กว่าการที่เขาต้องมาอยู่ในที่ที่เขาโดนกักเป็น 10 ปี
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ส่วนที่มีบางประเทศประณามหรือไม่ยอมรับ เราเคารพทุกความคิดเห็นสิ่งที่เราทำได้คือต้องใช้เวลาและการอธิบายที่จะทำให้ทุกประเทศเข้าใจ ตอนแรกหลายๆ ประเทศคิดไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ซึ่งไม่แปลกแล้วก็ไม่ผิด เพราะเขาไม่ทราบว่าประเทศไทยและประเทศจีนคุยอะไรกัน เมื่อมีหนังสือรับรองเกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องจริงจังหากมีหนังสือรับรองแล้วไม่เป็นแบบนั้น ประเทศจีนเองก็จะถูกมองไม่ดีในสายตาประเทศอื่นๆ ในโลกเช่นกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เราคิดอย่างนั้น ถึงมั่นใจและส่งอุยกูร์กลับไป เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอธิบายให้ทุกประเทศเข้าใจ ส่วนที่ท่านกล่าวหารัฐบาลว่าทำผิด เรื่องนี้ต้องถามว่าท่านเปิดตามองในทุกมิติของโลกหรือเปล่า จริงๆท่านเป็นนักสิทธิมนุษยชน มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่แน่ใจว่าหรือท่านจะสองมาตรฐานสำหรับรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ เพราะเท่าที่จำได้ก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนเลย ที่มีนโยบายในเรื่องของผู้ลี้ภัย ท่านจะใช้โอกาสหรือเวทีนี้ออกนโยบาย ประกาศเลยก็ได้ว่าทำตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการในทุกกรณีหรือจะมีแนวทางอย่างไรบ้างประชาชนจะได้รับฟัง
น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ตอนนั้นเราเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วยกัน ลงสัตยาบันร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายหนแต่ว่าทำไม่สำเร็จ เมื่อเรามาเป็นรัฐบาลก็ได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภาฯ จุดยืนก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แตะหมวดหนึ่ง หมวดสอง เพียงแต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา ทั้งในเรื่องของกฎหมายการทำประชามติ จำนวนครั้งในการทำประชามติ แต่เราก็พยายามเดินไปข้างหน้าท่านเรียกร้องให้ตนแสดงภาวะผู้นำ จริงๆแล้วไม่ต้องเรียกร้องเพราะตนทำอยู่ตลอดเวลา และมีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอดในทุกๆนโยบายที่ต้องหารือ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างให้ชัดเจน จนล่าสุดพรรคร่วมซึ่งเคยไม่เข้าประชุมก็ตกลงมีมติเห็นชอบร่วมกันนำเรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เข้าใจอยู่ว่าแม้จะช้าไปบ้าง ไม่ทันใจ แต่แน่นอนวันนี้คือโอกาสที่ชัดเจนแห่งความสำเร็จ
“ส่วนภาวะผู้นำของดิฉันนั้น ดิฉันคิดว่าก็มีความอดทน เราเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมหลายพรรค ต้องมีความอดทน มีเหตุผลและต้องมีความจริงใจด้วย ดังนั้นสิ่งที่ดีที่ดิฉันยึดถือและมองเห็นว่าผลสำเร็จจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าจะให้ดิฉันไม่เป็นผู้นำในลักษณะนี้ ดันทุรังแต่พังทุกรอบก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ดิฉันเชื่อว่าดันทุรังแบบนั้นจะไม่เกิดผลดีกับรัฐบาลของดิฉัน” น.ส.แพทองธารกล่าว
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ที่มีสมาชิกได้อภิปรายในเรื่องของการต่อสู้ของประชาชน ต้องขอเรียนว่ารัฐบาลนี้เคารพในสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของทุกฝ่าย ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยบอบช้ำ เจ็บปวดขนาดไหน พรรคการเมืองที่ต่อสู้ร่วมกับประชาชน เรายืนเคียงข้างประชาชนอย่างเปิดเผยในพรรคของเราก็เต็มไปด้วยนักการเมืองที่ต่อสู้เคียงข้างประชาชนมา แน่นอนว่าเราเห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ คนเสื้อแดงและลูกหลานของคนเสื้อแดงมากมายก็อยู่ในพรรค ถึงแม้จะไม่ได้พกหมวก พกผ้าพันคอแต่เราก็แสดงเรื่องนี้อย่างจริงจัง อยู่ในใจของพวกเราเสมอ สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเราเป็น
น.ส.แพทองธารกล่าวต่อว่า ถ้าคำว่าดีลหมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกที่ในโลกใบนี้ก็ต้องมีการดีลกันทั้งนั้น รัฐบาลของเราที่ตั้งมาก่อนหน้านี้พรรคของเราดีลกับพรรคของท่าน พรรคของท่านก็มาดีลกับพรรคของเรา เรายกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของท่านด้วยความที่เราเชื่อว่าท่านสามารถรวมเสียง ส.ว.สำเร็จแล้ว แล้วก็ดีลกันแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นในระดับสองคน ระดับทุกๆ คนในพรรคเราดีลกันแบบนั้น ที่ผ่านมาเราก็รักษาคำพูดของเราอยู่เสมอ เราทำตามดีลทุกอย่าง เมื่อปี 62 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับหนึ่งแต่พอเลือกนายกฯ เราก็มายกมือให้แคนดิเดตนายกฯ ของท่านซึ่งอยู่ในอันดับสาม เราทำตามดีลท่านทุกอย่าง เลือกตั้งปี 66 ท่านเป็นพรรคอันดับหนึ่งมาดีลกับพรรรคเรา เราตกลงยกมือให้ท่านอีกครั้ง ครั้งแรกไม่ผ่าน เราก็ยกมือให้ท่านอีกเป็นครั้งที่สองตามที่ท่านมาดีลกับเราไว้ และเราก็ยกมือให้แคนดิเดตนายกฯ ของท่านมาตลอด แต่ที่จำได้ท่านยังไม่เคยยกมือให้แคนดิเดตของพรรคเราเลย เมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็เดินหน้าตั้งรัฐบาลต่อไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของระบบรัฐสภา ก็เกิดขึ้นกับพรรคเรามา แล้วก็เกิดขึ้นกับพรรคท่านเช่นกัน
น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า เราก็รู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลในครั้งนี้จะต้องพบกับความยากลำบาก ต้องอธิบายให้กับประชาชนฟัง แต่ว่าถ้าเรามีความตั้งใจอย่างมากที่จะผลักดันนโยบายสู่ประชาชนจริงๆ เราทราบอยู่แล้วตัวเลขก็บอก ประเทศไทยโตช้ามาเป็น 10 ปี ดังนั้นถ้าเราไม่เริ่มแต่วันนั้น เราจะมีนโยบายที่ออกไปถึงมือประชาชนแบบวันนี้หรือ การที่ท่านพูดถึงว่านโยบายไม่ตรงปกแต่ชาวบ้านได้รับเงิน 10,000 บาท ถามประชาชนแล้วหรือยังว่ามีความสุขกับสิ่งนั้นหรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นถูกกระตุ้นแล้ว ถ้าไม่ถูกกระตุ้นเลยจะกระเตื้องแบบวันนี้หรือไม่
“ถ้าไม่เริ่มนับหนึ่งแต่วันนั้น วันนี้ก็จะติดลบอยู่ ถ้าไม่เริ่มจากลบมาเป็นศูนย์ จากศูนย์มาเป็นบวก เมื่อไหร่ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้า ดังนั้นรัฐบาลนี้แบกไว้ค่ะ ในเรื่องของการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เป็นสิ่งที่เราภูมิใจว่าเราทำนโยบายต่างๆ เดินสายคุยกับต่างประเทศ นำเงินเข้าประเทศแล้ว ทำให้การลงทุนของประเทศไทยสูงสุดในรอบ 10 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่เราเป็นรัฐบาลยังไม่ถึงหนึ่งปี แค่หกเดือนเท่านั้น เราก็เริ่มแล้ว ดิฉันเชื่อว่าไม่มีใครอยากที่จะเป็นผู้ถูกกล่าวหาในวันนี้ เพื่อความชัดเจนและสร้างแนวการเมืองแบบใหม่ ท่านควรจะประกาศให้ชัดไปเลยว่าสมัยหน้าท่านจะร่วมหรือไม่ ร่วมกับใคร พูดให้ชัดตั้งแต่วันนี้ ประชาชนจะได้เกิดความสบายใจ” น.ส.แพทองธารกล่าว