อิ๊งค์สั่งพณ.-ยธ.ตรวจตึกสตง. รับให้ดีเอสไอเช็กใช้นอมินี ส่อเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ฮั้วประมูล

อิ๊งค์สั่งพณ.-ยธ.ตรวจตึกสตง. รับให้ดีเอสไอเช็กใช้นอมินี ส่อเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ฮั้วประมูล

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่าก่อนการประชุมครม.มีการหารือเรื่องสาเหตุ ข้อเสนอแนะแต่ละกระทรวง ถึงเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ (สตง.)ถล่มว่า แต่ละกระทรวงรับไปพิจารณาดำเนินการ เพื่อให้การหาข้อเท็จจริงรวดเร็ว ใช้ระบบเทคโนโลยีเข้าช่วย และมอบกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พูดคุยติดต่อกับประเทศที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง เช่น ญี่ปุ่นและประเทศแถบยุโรป ได้สั่งการให้ตรวจสอบทุกโครงการที่บริษัทดังกล่าวได้รับสัมปทานและให้ลงลึกว่าทำโครงการใดบ้าง เนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยอีก

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่าเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานจะตรวจสอบหรือไม่ ว่าได้มีการกระจาย ไปยังโครงการอื่นๆ นายกฯ กล่าวว่า จะต้องตรวจสอบแน่นอน เนื่องจากเป็นความปลอดภัย หากพบว่าชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเหล็กที่นำมาก่อสร้างอาคารกระจายไปยังโครงการอื่นๆต้องมีการแจ้ง อย่างที่ตนพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องจริงจังเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่แม้จะเกิดขึ้นกับตึกเดียว แต่เป็นภาพพจน์ประเทศ ฉะนั้นต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และให้เวลากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปคำตอบมาบอกกับประชาชนและทั้งโลก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ขณะนี้ทั้งตนและ รมว.การต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พยายามสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจว่า เป็นความผิดพลาดของตึกเดียว และทุกตึกทั้งประเทศต้องผ่านมาตรฐานตามกฎหมาย ในการรองรับเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอกำลังตรวจสอบแล้ว

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุตึกถล่มนั้นว่า รัฐบาลมองว่าเหมือนโศกนาฏกรรมต้องดูแลช่วยเหลือเต็มที่ ดังนั้นการเยียวยาทางด้านจิตใจและที่เป็นตัวเงินจะต้องมี การเยียวยาเหตุภัยพิบัติสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุด นอกจากนี้ รัฐบาลอาจจะมีมติครม.ช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติม สำหรับของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะเข้าไปดูแลเรื่องหนี้สินครัวเรือน ได้จัดเจ้าหน้าที่จิตวิทยาเข้าไปดูเกี่ยวกับสภาพจิตใจ แต่ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม มีอยู่ 3 ประเด็นที่จะเข้าข่ายความผิด

ADVERTISMENT

1. การประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว ที่ใช้นอมินี เท่าที่ดูจากงบการเงินบริษัทดังกล่าว ขาดทุนมาตลอด และไม่มีการเสียภาษี อีกทั้งมีการนำเงินของบริษัทไปให้กรรมการกู้จำนวน 2 พันล้านบาท แม้อำนาจที่แท้จริงจะให้ต่างชาติ 49% ไทย 51% แต่หากมองในลักษณะมีอำนาจครอบงำ จะเห็นในเรื่องการบริหาร ดังนั้นจึงต้องเข้าไปดู และจากการตรวจสอบสถานที่เดียวกัน กลุ่มคนเดียวกัน มีบริษัทลักษณะนี้ 10 บริษัท ต้องดูว่ามีการกระทำใดที่เป็นความผิดในพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว และเข้าข่ายดีเอสไอเข้าไปดำเนินการหรือไม่

2. หากสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวน และ3.การจัดซื้อจัดจ้าง ที่เรียกว่าฮั้วประมูล หากเกินกว่า 30 ล้านบาทขึ้นไป กรมสอบสวนคดีพิเศษก็มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ เพราะเบื้องต้นเห็นว่าต่ำกว่าราคากลางเพียง 1% เท่านั้น ปกติการประมูลที่ไม่มีการแข่งขัน ควรต่ำกว่า 10-15%

ADVERTISMENT

เมื่อถามว่า บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 มีบริษัทเครือข่ายเดียวกันกว่า 24 บริษัท พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ทราบจากการรายงานอธิบดีดีเอสไอ จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องเร่ง ตรวจสอบว่า เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุแค่ตึกเดียว มีการกระทำผิดหรือไม่ ตรวจสอบการเสียภาษี รวมถึงเชิงลึก คือนำบุคคลที่เกี่ยวข้องมาซักถาม ก็จะได้ข้อมูล ก็ได้กำชับให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเร่งดำเนินการ

เมื่อถามต่อว่า จะพุ่งเป้าไปที่บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ก่อนใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า นายกฯได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบันต้องยอมรับ ว่า เศรษฐกิจไทย เหมือนจีดีพีจะโต แต่คนไทยไม่ได้ประโยชน์ จึงจะไปดูว่าหากบังคับใช้กฎหมายธุรกิจของคนต่างด้าวให้เป็นไปตามกฎหมาย เงินที่จะไปสู่คนต่างด้าวเพียงอย่างเดียว ต้องกลับมาหาคนไทย 51% ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเคสนี้ แต่จะดูธุรกิจทั้งหมด ที่คนต่างด้าวดำเนินการ โดยให้ดีเอสไอไปดูเรื่องนอมินีทั้งหมด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image