นักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ธรรมศาสตร์ เผย การเลือกตั้งเมียนมาปลายปี-ต้นปีหน้า คือยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านทางการเมือง ให้กลายเป็น ‘ประชาธิปไตยพหุพรรคแบบมีระเบียบวินัย’ ที่ทหารยังคงมีอำนาจนำ เพื่อลดแรงกดดันประชาคมโลก และลดทอนกำลังฝ่ายต่อต้าน ผ่านกลวิธี เลือกตั้ง 4 ขยัก เพื่อช่วงชิง ‘ทาวน์ชิป’ ที่กองทัพได้เปรียบ เพื่อรักษาโมเมนตัมที่ดี จนคว้าชัยชนะ
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่กำลังสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวเมียนมาอยู่ในเวลานี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งที่กำหนดไว้ในช่วงปลายปีนี้ และต้นปีหน้า เพราะหากย้อนกลับไปศึกษาวัฒนธรรมทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทหารเมียนมา จะพบว่าแม้ในปี 2008 พายุไซโคลนนาร์กีสจะถล่มเมียนมาจนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทว่า รัฐบาลในเวลานั้นยังคงเดินหน้าจัดให้มีการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยกองทัพต่อไป จนกระทั่งมีการเลือกตั้งต่อมาในปี 2010
รศ.ดร.ดุลยภาค ยังกล่าวอีกว่า เมื่อกลับมาวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคมปีนี้ เป็นเพราะความต้องการในการเปลี่ยนผ่านการเมือง ในลักษณะที่กองทัพยังสามารถควบคุมและจัดการได้ พร้อมกับการได้รับการยอมรับและลดแรงกดดันจากสายตาประชาคมโลก อย่างไรก็ตาม การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ กองทัพจะต้องทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตยพหุพรรคแบบมีระเบียบวินัย’ ที่แม้จะมีการแข่งขันจากหลากหลายพรรคการเมือง ทว่า จะไม่มีพรรคการเมืองใดที่เด่นขึ้นมามากเกินไป จนครองอำนาจเบ็ดเสร็จแบบที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) พรรคการเมืองฝ่ายพลเรือน ที่มี อองซานซูจี เป็นผู้นำขึ้นมาบริหารประเทศ
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายความขัดแย้งในเมียนมาหรือไม่ รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า คงไม่ได้ พร้อมขยายความว่า หากจะคิดอยู่บนฐานที่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการปิดเกมส์ที่จะสามารถยุติได้ทุกอย่างก็คงจะไม่ใช่ และการเลือกตั้งก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่พอเพียงที่จะช่วยระงับความขัดแย้งได้ เพราะหากจะยุติความขัดแย้งจริงๆ ยังคงมีภาระงานอื่นๆที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการพัฒนากระบวนการสันติภาพ และแก้ไขเรื่องพื้นฐานต่างๆ ที่เป็นรากเหง้าของปัญหาในประเทศนี้
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในครั้งนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้แรงตึงเครียดจากความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อ นับตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2564 และยังไม่ปรากฏผู้แพ้ผู้ชนะอย่างชัดเจนเสียที ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง เพราะจากการศึกษาการเมืองเชิงเปรียบเทียบหลายประเทศรอบโลก พบว่าการเลือกตั้งสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และสร้างผลประโยชน์ให้แก่บางฝ่ายทางการเมืองได้ในหลายๆกรณี
“สิ่งผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาคาดการณ์จากการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือ ฝ่ายที่ต่อต้านจะถูกผ่าออกเป็น 2 ซีก หมายความว่าจะมีบางกลุ่มของฝ่ายต่อต้านที่เปลี่ยนใจยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้และยืนข้างกองทัพ ซึ่งจะทำให้ฝ่ายต่อต้านที่เหลืออยู่มีพลังน้อยลง กองทัพต้องการที่จะให้เกิดรัฐบาลผสม ไม่ใช่แบบที่ NLD เคยทำ อาจจะเป็นพรรค USDP ของกองทัพผสมกับพรรคขนาดกลางของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยอมรับการเลือกตั้ง เป็นการปกครองที่อยู่ในระบบประชาธิปไตยแต่ทหารยังมีอำนาจอยู่ต่อไปได้” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
มากไปกว่านั้น หากฝ่ายต่อต้าน คือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่ผนึกกำลังร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม ต้องการที่จะสกัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะมองว่าเป็นการฟอกขาวให้กับกองทัพเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง ฝ่ายต่อต้านอาจจะต้องยกระดับยุทธศาสตร์ในการยึดครองพื้นที่หรือเมืองที่สำคัญให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ก่อนจะถึงการเลือกตั้งปลายปีนี้ เพื่อสร้าง ‘เขตปลดปล่อย’ และสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์บริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล NUG
สิ่งเหล่านี้ จะก่อให้เกิดอำนาจในการบริหารประเทศสองศูนย์ที่จะแข่งขันกัน หนึ่งศูนย์นั้นจะอยู่ที่เนปิดอว์ ซึ่งเป็นของรัฐบาลทหารเมียนมา และอีกศูนย์อาจจะอยู่ที่มัณฑะเลย์หรือมาเกว ที่ฝ่ายต่อต้านยึดไว้ได้ แล้วก็ปักหลักการดำเนินนโยบายสาธารณะแข่งกับรัฐบาลกองทัพ หากทำเช่นนี้ได้ จะทำให้ฝ่ายต่อต้านมีอำนาจในการแบ่งอธิปไตยในประเทศเมียนมาได้ และจะส่งผลให้ได้รับการยอมรับ (Recognize) จากเวทีโลกมากขึ้น ซึ่งการที่ฝ่ายต่อต้านจะทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีศักยภาพและความเข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่
เมื่อถามว่า รัฐบาลทหารเมียนมา จะจัดการเลือกตั้งปลายปีนี้ได้สำเร็จหรือไม่ เพราะรัฐบาลทหารควบคุมพื้นได้เพียงราวครึ่งหนึ่งของประเทศเท่านั้น รศ.ดร.ดุลยภาค ให้ความเห็นว่า หากนับระยะเวลาตั้งแต่ตอนนี้ ไปจนถึงปลายปี หากยังไม่มีการยกระดับยุทธศาสตร์ใดๆจากฝ่ายต่อต้าน ก็มีแนวโน้มอย่างสูงที่ฝ่ายกองทัพจะสามารถจัดการเลือกตั้งได้
ทั้งนี้ หากดูการวางกลยุทธ์ในการเลือกตั้ง ที่ถูกแบ่งวันเลือกตั้งออกเป็น 4 ครั้ง คือ ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 และ 4 ของเดือนธันวาคมปีนี้ และในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคมปีหน้า การแบ่งการเลือกตั้งออกเป็น 2 ขยักใหญ่ 4 ขยักใหญ่ แบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองเมียนมา และหลายประเทศก็ไม่มีใครเขาทำกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามหรือกฎหมายใดๆเช่นกัน ซึ่งเป็นเทคนิคทางกลยุทธ์ที่ใส่เข้าไปในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นปลายปีนี้
“ที่มาของกลยุทธ์เหล่านี้ คาดว่ามาจากกตัวชี้วัดสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ทาวน์ชิป ที่เปรียบเสมือนตำบลของไทย ซึ่งในเมียนมามีทาวน์ชิปอยู่ทั้งหมด 330 ทาวน์ชิป ที่เป็นบ่อเกิดของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภา 330 ที่นั่ง ดังนั้น จึงต้องมาวัดกันว่าฝ่ายต่อต้าน หรือกองทัพ จะสามารถควบคุมทาวน์ชิปได้มากกว่ากัน ซึ่งขณะนี้ ฝ่ายต่อต้านยึดครองไว้ได้เพียง 80 – 90 ทาวน์ชิป ส่วนที่เหลืออยู่ในการยึดครองของทหารเมียนมา ซึ่งนับจากนี้ไป ก็ยังสามารถลุ้นได้ระดับนึงว่า หากกองทัพได้อาวุธเสริมความแข็งแกร่งจากรัสเซีย และเบลารุส จะทำให้กองทัพมีศักยภาพในการยึดคืนทาวน์ชิปมาได้เพิ่มเติม ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้งมากขึ้นไปอีก” รศ.ดร.ดุลยภาค ให้มุมมอง
ดังนั้น การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง อาจทำให้ฝ่ายกองทัพสามารถเลือกจุดยุทธศาสตร์และเปิดให้มีการเลือกตั้งในพื้นที่และจำนวนทาน์ชิปที่ตนได้เปรียบก่อน แล้วค่อยๆทยอยช่วงชิงพื้นที่อื่นๆมาเป็นระลอกๆ สิ่งเหล่านี้คือการข่มขวัญในเชิงจิตวิทยา เพื่อสร้างโมเมนตัมและบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายกองทัพ ทั้งต่อบริบทภายในประเทศ และการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะทำให้ผู้นำทหาร สามารถเก็บสะสมจำนวนทาวน์ชิปได้มากพอที่จะทำให้ตั้งรัฐบาลได้ในท้ายที่สุด
มากไปกว่านั้น ฝ่ายกองทัพยังคงมีความได้เปรียบด้วยจำนวนเสียงที่มีอยู่เดิม จากรูปแบบทางการเมืองที่มี ส.ส. ซึ่งเป็นทหาร และมาจากการแต่งตั้งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยมีสัดส่วนถึง 25% ของสภา นั่นหมายความว่าหากการเมืองเลือกตั้งในครั้งนี้ คะแนนจากทาวน์ชิปไม่เป็นไปตามที่กองทัพหวัง ก็ยังคงมีตัวช่วยจาก ส.ส. ทหารที่กักตุนไว้ถึง 25% จนสามารถนำไปสู่การเปิดสภาได้เช่นกัน
รศ.ดร.ดุลยภาค ขยายความต่อไปว่า การเลือกตั้ง ส.ส. ในเมียนมามีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ‘การเลือกตั้งสภาประชาชน’ ซึ่งจะเป็นการเลือกแบบระบบแบ่งเขต และ ‘การเลือกตั้งสภาชนชาติ’ ซึ่งคล้ายคลึงกับ สว. ของไทยสำหรับการเลือกตั้งสภาประชาชน มีจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 440 ที่นั่ง ซึ่ง 330 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้งในทาวน์ชิปทั่วทั้งประเทศ ส่วนอีก 110 ที่นั่ง มาจากการแต่งตั้งของทหารเมียนมา นั่นหมายความว่า มินอ่องลาย มีสต็อกอยู่ในมือแล้ว 110 คน
นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้ง ‘การเลือกตั้งสภาชนชาติ’ ซึ่งมีที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง และแน่นอนว่ามินอ่องลายก็มีตุนอยู่ในกระเป๋าโดยการแต่งตั้งไว้แล้วเช่นกัน ถึง 56 ที่นั่ง ส่วนอีก 168 มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเลือกด้วยระบบสัดส่วน นี่คือโควตาที่สร้างความได้เปรียบให้กองทัพ
“การกำหนดวันเลือกตั้งออกเป็น 4 ขยัก มันจะมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ทางการเมืองที่รัฐบาลทหารเมียนมาต้องการ ซึ่งที่ผ่านมา ได้แก้ไขระบบการเลือกตั้ง ให้มีทั้งการเลือกแบบแบ่งเขต และแบบสัดส่วน เพื่อนำไปสู่รัฐบาลแบบผสม ที่กองทัพยังคงมีอำนาจนำ ไม่เกิดกรณีซ้ำรอยอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับพรรค NLD ซึ่งเป็นผู้ชนะเพียงพรรคเดียว แต่ให้เป็นรัฐบาลผสม แบบประชาธิปไตยพหุพรรคแบบมีระเบียบวินัย ดังที่กล่าวไปตอนต้น” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
เมื่อถามอีกว่า หากการเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นได้จริงตามที่รัฐบาลทหารเมียนมาได้ประกาศไว้ จะส่งผลดีต่อปัญหาความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ได้บ้างหรือไม่ รศ.ดร.ดุลยภาค ให้ความเห็นว่า ขึ้นอยู่กับบริบททางการเมือง และกลุ่มอำนาจของกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น การเลือกตั้งอาจจะไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรมากในบางจุด แต่ในบางจุดก็อาจจะส่งผลกระทบ
“ยกตัวอย่างพื้นที่ที่อยู่ตรงข้ามกับ จ.ตาก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของมาเฟียท้องถิ่น อย่างกองกำลังกะเหรี่ยงต่างๆ เช่น KNU DKBA และกองกำลัง BGF ของ หม่องชิตตู่ ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่ว่าในหมู่บ้านของพื้นที่ DKBA ยังไม่ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากร หรือไม่มีรายชื่อของผู้มีสิทธิ์การเลือกตั้ง ตามข้อมูลทางการของเมียนมา นั่นหมายความว่าคงมีบางพื้นที่ ที่ทางการของเมียนมาจงใจปล่อยปละละเลยไปจริงๆ ดังนั้น ถ้ามันไม่ได้มีสถาบันทางการเมืองใหม่เกิดขึ้นในขอบเขตพื้นที่ชายแดน ยังคงเป็นผู้มีอำนาจเดิมๆที่ครองพื้นที่ การคาดหวังว่าปัญหาต่างๆอย่าง แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป มันจึงยังไม่ได้สัมพันธ์การเลือกตั้งมากนัก” รศ.ดร.ดุลยภาค ให้ภาพ