‘วิโรจน์’ ยัน ความจริงสำคัญที่สุด หลัง ‘กมธ.ทหาร’ จ่อเชิญ ‘แม่ทัพภาคที่ 3-ผอ.กอ.รมน.ภาค 3’ แจงปม ออกหมายจับ ‘พอล แชมเบอร์ส’ คดี ม.112 เชื่อ ‘รัฐบาล’ อาจไม่รู้เรื่อง แต่ ‘กองทัพ’ คงดำเนินการ ไม่ประณีต-รอบคอบ เพียงพอ
เมื่อวันที่ 11 เมษายน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณี กมธ.ทหารฯ เตรียมเชิญแม่ทัพภาคที่ 3, ผอ.กอ.รมน.ภาค 3, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, คณบดีคณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร, สถานทูตสหรัฐอเมริกา และพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง เข้าชี้แจง กรณีออกหมายจับในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต่อ นายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน ในวันที่ 24 เม.ย.นี้
โดยนายวิโรจน์กล่าวว่า ต้องการสอบถามถึงรายละเอียดว่าข้อกล่าวหาคืออะไรกันแน่ เกิดจากกรณีไหน หรือเหตุการณ์ใด และเข้าองค์ประกอบความผิดหรือไม่อย่างไร เพราะขณะนี้ทุกคนทราบแต่เพียงว่าถูกกล่าวหาเรื่อง ม.112 แต่ยังไม่มีใครรู้ในรายละเอียดเลย
ส่วนที่มีการเลื่อนวันจาก 17 เม.ย. เป็น 24 เม.ย.นั้น ตนเข้าใจว่าหน่วยงานราชการบางหน่วยงานไม่พร้อมที่จะมา และก็กังวลว่าทางกองทัพภาคที่ 3 จะอ้างถึงความฉุกละหุก หรือความปัจจุบันทันด่วนแล้วจะปฏิเสธได้ เราจึงให้เวลา มีการแจ้งล่วงหน้า ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีการตอบรับมาจากหน่วยงานใด
เมื่อถามว่า เรื่องนี้รัฐบาลเกี่ยวข้องหรือไม่ หรือเป็นการดำเนินการของกองทัพภาคที่ 3 เอง นายวิโรจน์กล่าวว่า รัฐบาลไม่น่าจะทราบในรายละเอียด แต่น่าจะเป็นการดำเนินการของกองทัพภาคที่ 3 โดยที่อาจจะไม่มีระบบการรายงานตามสายการบังคับบัญชาอย่างครอบคลุมเพียงพอ
“เรื่องนี้ต้องยอมรับว่ากองทัพภาคที่ 3 อาจไม่ได้มีความรัดกุมเพียงพอ เนื่องจากกรณีนี้ เป็นประเด็นที่เกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับประเทศที่เรียกว่า เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ และก็เป็นประเทศที่เราเกินดุลการค้าจำนวนมาก ซึ่งเราเองก็ควรให้การไตร่ตรอง เพราะจะส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้ด้วย ดังนั้น ก็ต้องมีความชัดเจนก่อน การบังคับใช้กฎหมายอะไรก็ต้องอธิบายได้กับทั้งคนในประเทศ และคนในสากลโลก” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวว่า การที่หลายฝ่ายยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ มีเพียงข้อสันนิษฐาน มีแต่การคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือได้รับข้อมูลที่ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่การแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่มีสัญชาติอเมริกันและเป็นนักวิชาการ โดยที่ยังไม่ทราบรายละเอียดนั้น แต่ ม.112 ต้องยอมรับตรงๆ ว่าอาจเกี่ยวพัน และอาจจะส่งผลกระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ดังนั้น ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ประณีต มีเหตุมีผล และอธิบายกับสังคมได้
เมื่อถามถึงกรณีที่ให้ประกันตัว แต่ต้องใส่กำไล EM และถอนวีซ่านั้น นายวิโรจน์ระบุว่า อย่าให้สันนิษฐานเลย เพราะตอนนี้คือเรากำลังสันนิษฐานภายใต้สิ่งที่สังคมยังไม่รู้ความจริงเลย และในสภาวะที่ไม่มีใครรู้ความจริงนี้ คนที่เกลียดชัง ก็เกลียดชังอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่บนข้อเท็จจริง หรือคนที่ต่อว่าภาครัฐ ก็ต่อว่าโดยที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ดังนั้น หากตนให้ข้อสันนิษฐานอะไรไป อาจจะเกิดการตีความไปในเชิงบวกและเชิงลบอีก
นายวิโรจน์ยังกล่าวว่า การบังคับใช้ ม.112 หากปล่อยให้สังคมเคลือบแคลงสงสัย และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานที่ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ หรือกรณีที่บางคนตีความว่าหน่วยงานภาครัฐไปกลั่นแกล้งเขา ขณะที่บางคนก็ระบุว่า คนนี้ทำผิดจริง กลายเป็นทำตัวเป็นศาล อย่างนี้ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง
“ลำพังแค่ประมวลกฎหมายปกติ เรายังต้องทำให้ความชัดเจนเกิดขึ้นเลย แต่นี่เป็นมาตราที่เกี่ยวข้องและเกิดผลกระทบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยพระราชทานเอาไว้อย่างชัดเจนว่า การใช้ ม.112 โดยไม่ประณีต ผู้ที่เดือดร้อน คือตัวองค์พระมหากษัตริย์เอง” นายวิโรจน์กล่าว
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาผิดหรือถูก สังคมต้องรับรู้ หากผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่ใช่นำไปตีความโยงใย หากเขาถูก ก็ต้องให้ความเป็นธรรม ส่วนเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้ ม.112 อย่างไม่ประณีต ไม่รอบคอบ ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ต้องได้รับโทษอย่างร้ายแรง ไม่ให้เป็นเยี่ยงเป็นอย่างกับหน่วยงานราชการอื่นอีก ย้ำว่า ความจริงสำคัญที่สุด อย่าเพิ่งไปตีความว่าผิดหรือถูก เราไม่ใช่ศาล