สถานีคิดเลขที่ 12 : ดึกดำบรรพ์ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

หนัง Jurassic World Rebirth ที่เข้าโรง 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา

ก่อให้เกิดความรู้สึก “irony”–ประชดประชัน-เสียดสี ขึ้น ในใจตัวเอง อย่างมาก

กล่าวคือ ด้านหนึ่ง ฉากและทิวทัศน์ ที่ปรากฏในหนังฟอร์มยักษ์นี้

ไม่ว่า อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา กระบี่ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ตรัง

แม้จะให้ภาพไทยเป็นประเทศที่มีธรรมชาติ แสนงาม เป็นที่ยอมรับก็ตาม

ADVERTISMENT

แต่อีกด้าน ในความ “งาม” นั้น “ข้างหลังภาพ” โดยเฉพาะ เรื่องการเมือง-การปกครอง ที่เป็นหัวใจสำคัญของชาติ

กลับย้อนยุค เป็นการเมืองดึกดำบรรพ์อย่างยิ่ง

ใน พ.ศ.นี้ เรายังต้องเลิ่กลั่ก ถามกันอยู่ว่าจะมีการรัฐประหาร เกิดขึ้นหรือไม่

สะท้อนถึง ความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

โดยเผชิญภาวะ ที่ขออ้างอิงข้อเขียนของ “ศิโรฒน์ คล้ามไพบูลย์” ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่วางแผงขณะนี้ คือ

1) เจอการเมืองแบบรื้อถอนความเป็นประชาธิปไตย (De-democratization)

2) (นำไปสู่) ระบอบประชาธิปไตยที่ถดถอยลง (Democrartic Backsliding)

3) (ขณะที่) สถาบันซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตยเติบโตสู่ทิศทางอำนาจนิยมมากขึ้นทุกวัน

ภาวะดังกล่าว ทำให้องค์กรที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเท่าใดนัก

มี “ซูเปอร์พลัง” ที่สามารถ ชี้เป็นชี้ตาย การเมือง-การปกครอง ได้อย่างง่ายดาย

ผู้นำฝ่ายบริหาร ผู้นำพรรคการเมือง รวมถึงตัวแทนที่มาจากประชาชน ร่วงผล็อยไปอย่างมากมาย

อาจจะมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

มีการชี้นิ้วกล่าวโทษว่า การที่ “ต้อง” เป็นเช่นนี้ เพราะ “นักการเมือง”เป็นผู้ก่อและสร้างเงื่อนไขเอง

จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องเจอการประหัตประหาร โดยเครื่องมือต่างๆ ทั้ง ตุลาการภิวัฒน์ นิติสงคราม หรือแม้กระทั่งรัฐประหาร

แน่นอน “นักการเมือง-พรรคการเมือง” มีจุดอ่อน มีจุดด้อย หรือเลวร้ายอย่างที่กล่าวหาจริง

แต่กระนั้น วิธีจัดการ ในนามแห่งความดังกล่าว ก็พิสูจน์แล้วเช่นกันว่า ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปไหน

ยังวนลูปอยู่ใน “ยุคดึกดำบรรพ์” อยู่เช่นเดิม

การเมืองตอนนี้ ก็เป็นเช่นนั้น

ยังวนเวียนในวงจรอุบาทว์–อาจจะไม่ใช่การลากรถถัง เขามายึดอำนาจแบบดื้อๆ (ซึ่งก็ไม่แน่–เพียงแต่อาจไม่ใช่ขณะนี้?)

แต่เราก็ได้เห็นความพยายามที่จะทำให้เกิดภาวะตีบตันทางการเมือง เกิดภาวะสุญญากาศ

โดยจะเห็นได้จาก ความเคลื่อนไหว ในการหยิบประเด็นต่างๆ ขึ้นมาร้องเรียนต่อองค์กรอิสระอย่างต่อเนื่อง

เพื่อทำให้ผู้นำฝ่ายการเมือง ที่ตอนนี้ถูกพักการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ต้องถูกลงโทษในทางกฎหมายต่อไป

ขณะเดียวกันก็สร้างเงื่อนไขให้ผู้ที่รักษาการนายกฯ และคณะรัฐมนตรี อยู่ในภาวะเป็ดง่อย บริหารงานไม่ได้

พร้อมๆ กับพยายามริบอำนาจไม่ให้ผู้รักษาการนายกฯมีอำนาจยุบสภา

เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง ด้วยไม่มั่นใจว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วฝ่ายตนจะชนะ

ขณะเดียวกันก็เกรงกลัว “ผีสีส้ม” ที่อาจจะผงาดกลับมาด้วยเสียงของประชาชนที่ให้การสนับสนุน

ดังนั้น ภาวะตีบตันทางการเมือง และภาวะสุญญากาศ คือเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้น

เพื่อปูทาง และสร้างเงื่อนไขให้ “อำนาจพิเศษ” เข้ามาแทรกแซง

โดยเครื่องมือหนึ่ง ที่มีการจับตามองว่าอาจจะถูกปัดฝุ่นนำมาใช้ นั่นคือ มาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ 2560

ที่ระบุว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นเป็นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

คำว่า “ประเพณีการปกครอง” นี่แหละ

ถูกมองว่าคือช่องที่ “อำนาจพิเศษ” จะเบียดเข้ามาแทรกแซง

นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามโดยใกล้ชิด

เพราะนั่น อาจทำให้เราจมลึกกับการเมืองดึกดำบรรพ์ ต่อไป

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร